-ในโลกยุคปัจจุบันที่วิทยาการก้าวหน้า เรามีการยืนยันตัวตน มากมาย ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น Pin Code, Password, OTP, Key card, Scan ลายนิ้วมือ, Scan ใบหน้า, Scan ม่านตา ฯลฯ ซึ่ง เครื่องมือเหล่านี้ อาศัยเทคโนโลยี ช่วย ให้เราทำงานได้สะดวก ถูกต้อง และ แม่นยำมากขึ้น เวลาที่จะต้องทำกิจกรรม หรือ ธุรกรรม ในระบบ digital และ เราก็เรียนรู้ ทฤษฎี และ หลักการ สมัยใหม่ ว่า ในการยืนยันตัวตน เราจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ 3 กลุ่ม คือ what you know, what you have, และ what you are
-ซึ่งเครื่องมือทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีความยากง่าย ในการปลอมแปลง หรือ สวมสิทธิ์ ได้ไม่เท่ากัน มีความจำเพาะ มากขึ้นตามลำดับ 1 2 3 … การใช้ what you know.. ถาม password หรือ pin code หรือ ถามเลขบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด โรงเรียน ที่เรียน ก็เป็นอะไรที่เจ้าตัวจะรู้ดี แต่ คนอื่นก็อาจจะรู้ได้ จึงมีความจำเพาะไม่มาก นอกจาก การตั้ง password ที่ยากแก่การเดา (ถ้าตั้งง่าย ก็อาจจะเป็น 123456 หรือ วันเดือนปีเกิด ฯลฯ) ส่วนการใช้ what you have … เช่น key card หรือ กุญแจรถยนต์ remote ก็อาจจะยากขึ้นหน่อย เพราะ อุปกรณ์ ถูกออกให้จำเพาะ และ ต้องมีอุปกรณ์นั้นอยู่กับตัว แต่ด้วยเทคโนโลยี ปัจจุบัน ก็ยังมีเครื่องดักจับสัญญาณ ที่สามารถ อ่าน และ ทำเลียนแบบได้ แต่อาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้น (ซึ่ง call center ที่หลอกลวง อาจจะทำไม่ได้) ในปัจจุบัน จึงมีการ ใช้ OTP ซึ่ง เป็นการบอก what you know (OTP) ผ่าน ไปยัง มือถือ (ซึ่ง เป็น what you have เพราะมือถือมีเครื่องเดียว และ อยู่กับตัว) ทำให้มีความแน่นหนา และ จำเพาะมากขึ้น … ส่วน what you are เป็นระบบ ที่จัดได้ว่ามีความจำเพาะ สูงสุดใน 3 กลุ่ม เพราะ หน้าตา ลายนิ้วมือ และ ม่านตา เป็นลักษณะจำเพาะของบุคคล โอกาส ซ้ำกัน น้อยมาก แม้กระทั่ง ฝาแฝด แต่เทคโนโลยี ก็ยังเปิดช่อง ให้ไม่ต้องละเอียด ถึง 100% จึงทำให้ what you are ยังอาจจะพลาดได้ หรือ ปลอมแปลงได้ แต่ ยากกว่า 2 วิธีแรก
-ในทางเทคนิค การใช้ เทคโนโลยี IT ก็ทำให้ สามารถ ใช้งานได้กว้างขวาง และ รวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน ก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการดักจับ ความเคลื่อนไหว ว่า มีใคร ไปทำธุรกรรม อะไรที่ไหน ซึ่ง ในเรื่องที่ลับสุดยอด อาจจะไม่ปลอดภัย
-การใช้เทคโนโลยี ยืนยันตัวตน ไม่ใช่เพิ่งมี มันมีมานานแล้ว และ ก็ใช้หลักการเดียวกัน เพียงแต่ว่า อาจจะไม่ได้ถูก จัดเป็น ทฤษฎี หรือ หมวดหมู่แบบในปัจจุบัน และ ก็ถูกใช้ ในกรณีที่ เราอาจจะไม่รู้จักกัน หรือ ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ด้วยซ้ำ เช่น ในหมู่สายลับ อาจจะใช้ ประโยคคำถามคำตอบที่คนคาดไม่ถึง เป็น what you know ที่รู้กันเฉพาะในกลุ่ม เช่น ถาม : “ขนมจีบ พิซซ่า เพิ่มไหมครับ” ตอบ : “เราชอบกินข้าวผัดกับไอติมตอนกลางคืน“… ส่วน การใช้ what you have ก็อย่างเช่น ใช้ ตราหยก ที่ มาประกบกันเข้าพอดี และ what you are ก็มักจะดู ไฝ หรือ ปานแดง หรือ แม้แต่ กริยาท่าทางที่จำเพาะรู้จักกันในคน ใกล้ชิด เช่น ในหนังเรื่อง Faceoff ที่แม้แต่ แปลงโฉมหน้าไปแล้ว แต่ ก็ยังเอาหน้าผากมาชนกัน ระหว่าง พ่อ-ลูก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำกันประจำ
–เครื่องมือต่างๆ ในอดีต ยังเป็นสิ่งที่ใช้ได้อยู่ และ หลบหนีการตรวจจับจากระบบ digital … ก็ไม่แน่ ว่าในอนาคต หากจะต้องมีการสู้กับ AI ที่ยืดครองโลก อาจจะ ต้องกลับไปใช้วิธีการ แบบดั้งเดิมในการยืนยันตัวตน แบบในอดีต นะครับ (จินตนาการไปเรื่อยครับ)