-ปลายตุลาคม ผมได้รับคำปรึกษาจากคุณครู ว่ามีผู้ป่วยสงสัยมะเร็งเต้านม อยากให้มาตรวจ... และในวันรุ่งขึ้น ผมมีโอกาสได้พบผู้ป่วยที่คลินิกเต้านม ในสภาพที่นอนเปลมา และหน้าตา ดูเครียด และ เหมือนคนที่หมดอาลัย ไม่รู้อนาคตของตนเอง
-เมื่อขอตรวจร่างกายดู ก็พบว่า ลักษณะอาการน่าจะเป็นมะเร็งเต้านม เพราะ ก้อนมะเร็ง โตจน ดันทะลุผิวหนังออกมาเกือบเต็มเต้านม ทำให้เต้านมผิดรูป และ แผลอักเสบ (ขออนุญาตไม่บรรยายมากไปกว่านี้) แต่จากลักษณะที่พบเห็นน่าจะเป็นมะเร็งเต้านมค่อนข้างแน่นอน มีผลตรวจจาก รพ ที่ผู้ป่วยเคยไปหา ว่า มีจุดของมะเร็งแพร่กระจายไปยังที่ปอดแล้ว … ผม จึงถามผู้ป่วย แค่ว่า มีก้อนมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม และ เคยตรวจแล้วหมอบอกว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า ได้รับคำตอบว่า เป็นมา 2 ปี หมอเคยเจอเนื้อและบอกว่าเป็นมะเร็ง แต่ ไปหายากินเอง ไม่ได้รักษาที่โรงพยาบาล
–ตามธรรมชาติของหมอ ที่คงแก่เรียน ก็อาจจะพยายามซักไซ้ว่า ไปรักษาอะไรมา ทำไมไม่รักษาที่โรงพยาบาล ไปรักษาอย่างอื่น มีแต่เสียโอกาส นะ โรคถึงได้ลุกลามจนเป็นเช่นนี้ .. หรือ อาจจะด้วยความไม่ชอบ กลุ่มที่หลอกลวงให้ผู้ป่วยไปรักษาอย่างอื่น จนโรคลุกลามรักษายาก จะพาลเลย ไส่อารมณ์ ต่อว่า คนไข้ หรือ ญาติ หรือ แสดงความรู้สึกที่ไม่พอใจออกมาโดยไม่รู้ตัว… แต่ในวันนั้น ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น
-เมื่อได้คำตอบ จากผู้ป่วยว่า เป็นมา 2 ปี และ เคยพิสูจน์ชิ้นเนื้อแล้วว่า เป็นมะเร็งเต้านม ผม ก็ได้แต่ ตรวจร่างกายโดยละเอียด และ บอกกล่าว การวินิจฉัย และ แผนการรักษา ด้วยท่าทางที่มีความมั่นใจ ในการประเมินสถานการณ์ และ เชื่อมั่นในแผนการรักษา … เล่าให้ผู้ป่วยฟังว่า โรคมะเร็งที่เป็น พอเราไม่ได้รักษาหรือรักษาไม่เต็มที่ ไม่ถูกวิธี (ในกลุ่มที่หลอกให้ผู้ป่วยรักษาทางเลือกอื่น บางครั้งก็ผสมยาต้านฮอร์โมนในผู้ป่วยรับประทาน แต่ โรคก็อาจจะโตช้าลงเล็กน้อย แต่สุดท้าย โรคก็ไม่หาย และ ลุกลาม) โรคก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ และ มีโอกาสแพร่กระจายไปที่อื่น ซึ่งตอนนี้ พบว่า มะเร็ง โตจนทะลุผิวหนังออกมาแล้ว การจะผ่าตัดรักษา ก็จะยาก และ เอาโรคออกไม่หมด อาจจะมีโรคที่กระจายไปที่อื่น และ ยังไม่ได้รับการรักษา … แนวทางที่ถูกต้อง คือ การให้ยาเคมีบำบัด เพื่อให้โรคที่อื่น หยุดโต ขณะเดียวกัน ก้อนมะเร็งที่เต้านม จะเล็กลงด้วยจากยาเคมีบำบัด เมื่อเล็กลงถึงจุดหนึ่ง ให้กลับมาตรวจ ถ้าผ่าตัดได้ ผมจะผ่าตัดเอามะเร็งออกให้ครับ
-นอกจากนี้ ยังให้ความมั่นใจผู้ป่วยเกี่ยวกับการให้ยาเคมีบำบัด ว่า ที่คนกลัวกันว่าให้ยาเคมีบำบัด จะฆ่าเซลล์ปกติของร่างกายเราด้วย ทำให้เราเสียชีวิต ว่า ในความเป็นจริง ยาเคมีบำบัด จะ ฆ่าเซลล์ที่กำลังโต ซึ่ง ในร่างกายของเรา เซลล์เม็ดเลือด ผม เล็บ เยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นเซลล์ที่โตเร็ว จะได้ผลกระทบจากการให้ยาเคมีบำบัด แต่ หมอจะให้ยาปริมาณที่พอเหมาะ เมื่อพักระหว่างชุดของการให้ยา 3 สัปดาห์ เซลล์ปกติของร่างกายจะฟื้นตัว ขณะที่เซลล์มะเร็งไม่ฟื้นตัว เมื่อให้ยาซ้ำ ร่างกายสามารถฟื้นตัวซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เซลล์มะเร็งฟื้นไม่ทัน ก็จะตายไป และ เซลล์มะเร็งหมดไปในที่สุด อีกทั้งปัจจุบัน ยากแก้คลื่นไส้อาเจียน ยากระตุ้นเม็ดเลือดที่ช่วยเวลาเกิดปัญหาจากเคมีบำบัดก็ดีมาก ไม่แพง และ มีใช้ทั่วไป จึงไม่ต้องกลัว หรือ กังวลเรื่องการให้ยาเคมีบบำบัด
-เมื่อเล่าแผนการรักษา พร้อมกับตอบข้อสงสัยให้ผู้ป่วยฟังแล้ว ก็แจ้งว่า ที่ รพ ประจำจังหวัดใกล้บ้าน สามารถให้ยารักษาโรคได้ ไม่ต่างจาก กทม และ คุณหมอก็แจ้งว่า พร้อมจะรักษาอยู่แล้ว จึงอยากให้ไปดูแลใกล้บ้าน และ จะนัดมาประเมินอาการอีกครั้ง ถ้าก้อนเล็กลง จะได้ นัดหมายผ่าตัดกัน … ในระหว่าง ที่รอพบหมอเคมีบำบัดใกล้บ้าน ผมจะจ่ายยา ต้านฮอร์โมน ให้กัน เพื่อชะลอ การโตของโรคมะเร็ง
-เมื่อผู้ป่วยและญาติเข้าใจดี จึงรับการรักษา ตามแผนที่เราพูดคุยกัน
–ถึงแม้ว่า ไม่ถึง 1 เดือน ให้หลัง จากวันที่ผมได้พบผู้ป่วย ผมจะได้ข่าวการเสียชีวิตของผู้ป่วย แต่ ก็รู้ว่า หลังกลับจาก รพ วันนั้น ผู้ป่วย ยอมกินอาหาร มีกำลังใจ และ พร้อมใช้ชีวิต สู้กับโรค เท่าที่ทำได้ … สิ่งที่คนไข้ต้องการ คือ ความเข้าใจ ของหมอ ที่เข้าใจโรค เข้าใจความต้องการของผู้ป่วย เข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วย ไม่ใช่ แค่การรักษาเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับโรค รู้ว่า หากทำอย่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้น หากทำอย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้น เขาจะเจออะไรบ้างระหว่างทางของการรักษา … ผู้ป่วย ไม่อยากให้ใครมาซ้ำเติม การตัดสินใจที่เขาเลือก และ ทำให้เขาเสียโอกาสไปแล้ว … ผู้ป่วยไม่ต้องการให้หมอมาซักไซ้ หรือ สอบถาม สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์จากเขา .. ผู้ป่วยต้องการความมั่นใจของหมอ ว่า หมอรู้จักโรคนั้นดี และ สามารถที่จะดูแลโรคของเขาได้ครับ