-มีความเชื่อต่อๆกันมา ว่า การรับแสงแดด เพื่อเสริมสร้างวิตามิน D ควรไปรับแดดอ่อนๆ ยามเช้า หรือ เย็น ดีที่สุด ซึ่ง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์ครับ
-มีการตรวจวัดระดับ การสร้างวิตามิน D ที่เพิ่มขึ้น ตามช่วงเวลาของ แต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลาของปี พบว่า ช่วงใกล้เที่ยง ทั้งก่อนและ หลังเที่ยง เป็นช่วงเวลาที่มีอัตราการสร้าววิตามิน D จากแสงแดด สูงที่สุด และ ตรงกับข้อมูลที่ว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ผิวหนังของเราได้รับ รังสี UVB มากที่สุด (รังสี UVB เป็นคลื่นความถี่ของแสง ที่กระตุ้นการสร้างวิตามิน D) นอกจากการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน ยังมีการศึกษา ในแต่ละช่วงเดือนของปี โดยในซีกโลกทางเหนือ จะมีหน้าร้อน ในช่วงเดือนมิถุนายน และ มีหน้าหนาว ในเดือน ธันวาคม … ในหน้าร้อน ดวงอาทิตย์ จะอยู่ใกล้กลางศีรษะ แสงอาทิตย์ จะสาดตรง ตั้งฉาก เข้าสู่ผิวโลก ช่วงดังกล่าว จะมี รังสี UVB เข้าสู่ผิวโลกมากที่สุด ขณะที่ในช่วงหน้าหนาว ดวงอาทิตย์จะคล้อยต่ำ ถึงแม้จะเป็นช่วงเที่ยงวัน แต่ ดวงอาทิตย์ ก็ไม่ได้อยู่บริเวณกลางศีรษะ แสงจากดวงอาทิตย์ จะส่องโลกในแนวเฉียงๆ ทำให้ ปริมาณรังสี UVB มาถึงผิวโลก และ ผิวหนังในปริมาณที่น้อยกว่า จึงเกิดการสร้างวิตามิน D ในช่วงหน้าหนาว น้อยกว่าในช่วงหน้าร้อน … ในทางซีกโลกทางใต้ จะสลับเดือนกัน แต่ยังคงมีการสร้าง วิตามิน D มากในช่วงหน้าร้อน (ซึ่งดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ) และ สร้างน้อยในช่วงหน้าหนาว
-แต่การแนะนำให้รับแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้า และ เย็น ก็มีเหตุผลครับ คือ การได้รับรังสี UV ในความเข้มข้นน้อย ถึงแม้จะได้รับวิตามิน D น้อย แต่ ก็เกิดผลเสีย ทำให้ผิวไหม้ หรือ แสบร้อยน้อยด้วย … มีการวัดค่า ดัชนีรังสี UV หรือ UVI (UV index) และ วัดค่า ที่น้อยที่สุด ที่จะทำให้ผิวหนังไหม้แดง หรือ MED (minimal erythema dose) พบว่า ถ้าได้รับแสง UVI ค่าน้อยๆ จะมีระยะเวลาที่นานขึ้น ก่อนจะถึง MED ดังนั้น การรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า เป็นอันตรายต่อผิวหนังน้อย จึงสามารถ อยู่กลางแดดได้นาน แต่ ก็ได้รับวิตามิน D น้อยด้วยนะครับ… เป็นข้อเท็จจริงืทางการแพทย์ที่พึงรู้ …. ไม่ใช่ แดดอ่อนๆ ในยามเช้า ให้วิตามิน D มากที่สุด ครับ

