-ทุกวันนี้ คนขาดวิตามินมีเยอะ หมอมักจะได้รับคำถามว่า กินยาบำรุงเสริม วิตามิน D เห็นว่า มีทั้ง D2 และ D3 เลือกกินแบบไหนดี
–วิตามิน D ร่างกายสามารถรับ สารตั้งต้นได้จาก 3 แหล่ง คือ จากผิวหนังที่ได้รับแสงแดด จากอาหารที่กินเข้าไป และ ยาบำรุงเสริมวิตามิน D ซึ่ง ทั้งหมด จะไปเปลี่ยนที่ตับ และ ไต ให้ เป็นวิตามินที่ใช้งานได้… ทั้ง วิตามิน D ที่ได้จากอาหารและ ยาบำรุงมี 2 กลุ่ม คือ D2 (Ergocalciferol) และ D3 (Calciferol) ซึ่งร่างกายใช้งานได้ทั้งคู่ โดยพบว่า หากได้รับ วิตามิน D มากกว่า 20,000 iu ต่อสัปดาห์ ก็จะได้รับวิตามิน D มากกว่า ที่ได้รับจากแสงแดด
-มีการศึกษา ถึงความแตกต่างระหว่างวิตามิน D2 และ D3 พบว่า วิตามิน D2 ดูดซึม และ เพิ่มระดับวิตามิน D ในกระแสเลือด ได้เร็วกว่า D3 แต่ว่า หมดไปจากร่างกาย เร็วกว่า D3 และ สะสมในไขมันได้น้อยกว่า D3 ซึ่งการศึกษา ทำให้ อาสาสมัคร 35 ราย อายุเฉลี่ย 49.5 ปี ให้กิน วิตามิน D ปริมาณ 50,000 iu ต่อ สัปดาห์ โดย วิตามิน D2 (สกัดจากพืช) กิน ขนาด 50,000 iu ครั้งเดียว ส่วน วิตามิน D3 (สกัดจากสัตว์) กิน ขนาด 10,000 iu วันแรก 2 เม็ด วันถัดมา 3 เม็ด ทั้ง 2 กลุ่ม กินนาน 12 สัปดาห์ และ เจาะเลือด ใน สัปดาห์ที่ 2, 4, 6, 8, 12, 18 พบว่า มีปริมาณวิตามิน D ในกลุ่มที่ กิน D3 สูงกว่า D2 แต่ ก็ลดปริมาณลง หลังจากหยุดยา ทั้ง 2 กลุ่ม …นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มที่กินวิตามิน D3 มีวิตามิน สะสมในเนื้อเยื่อไขมันมากกว่า
-จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ทั้ง วิตามิน D2 และ D3 ร่างกายสามารถใช้งานได้ทั้ง คู่ และ ต้องมีการเสริมเป็นระยะตลอดเวลา (เพราะพอหยุดกิน ก็ลดลง) จึงไม่มีความแตกต่างกันมากนักไม่ว่าจะกิน D2 หรือ D3 ปริมาณที่กิน จะเพียงพอที่ร่างกายจะนำไปใช้ ถึงแม้ว่า วิตามิน D3 จะคงอยู่ในร่างกายนานกว่า ก็ตาม .. ข้อที่ไว้พึงพิจารณาอีกหนึ่ง อย่าง คือ เรื่อง ราคา พบว่า ราคาของ วิตามิน D3 แพงว่า วิตามิน D2 มากถึง 4-10 เท่าตัวครับ
-หากเราได้รับวิตามิน จากการกินอาหาร และ แสงแดด ไม่เพียงพอ ก็ควรจะต้องกินวิตามิน D เสริมนะครับ