-ในยุคนี้ หลายคน ไปหาหมอ และ หมอ ก็ส่งตรวย MRI ในความรู้สึกของคนทั่วไป อาจจะรู้สึกว่า MRI ก็เหมือน เอกซเรย์ อย่างหนึ่ง แต่น่าจะดีเป็นพิเศษ MRI จะสามารถบอกได้เลยว่าเป็นโรคอะไร เพราะ เวลา หมอเกิดสงสัย หรือ ไม่แน่ใจ ว่าเป็นอะไร ก็ส่งตรวจ MRI ปวดหลัง ปวดขา ก็ส่ง MRI สงสัยมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม ก็ส่ง MRI
-ครับ ถูกต้องแล้วครับ MRI เป็นการตรวจ คล้ายๆ เอกซเรย์ แต่ ในการตรวจ เอกซเรย์ เราใช้ รังสีกำลังสูง ที่เรียกว่า รังสี X แต่ ในการตรวจ MRI เราใช้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Magnetic (ตัว M ตัวแรก) … ทั้ง ตัวรังสี X และ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถูกยิง หรือ ถูกส่งเข้าไป หาตัวเรา (ที่จริง ยิงไปหาวัตถุ อะไรก็ได้ครับ เมื่อ ยิงไปแล้ว ก็มี ตัวรับสัญญาณ เก็บ ผล ที่ได้จากการยิงรังสี หรือ คลื่นแม่เหล็กนั้น โดย รังสี จะรับรู้ว่า รังสีผ่านมาได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นน้ำ ก็ผ่านมามากหน่อย ถ้าเป็นของแข็ง เช่น กระดูกก็ผ่านมาน้อยหน่อย และ นำสัญญาณที่ได้รับ มาจำลอง เกิดเป็นภาพขึ้น ภาพเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถเห็นอวัยวะของเรา ในรูป 3 มิติ และ เห็นความสัมพันธ์ของ เนื้อเยื่อแต่ละส่วน ถ้ามีส่วนใดขาดหายไป หรือ มีส่วนที่แปลกปลอมแทรกเข้ามา เราก็จะมองเห็น เทียบกับเนื้อเยื่อปกติที่อยู่โดยรอบ ช่วยให้หมอวินิจฉัยได้
–MRI หรือ Magnetic Resonance Image คือ การสร้างภาพ จาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ อวัยวะ หรือ วัตถุ ต่างๆ ส่งออกมา หลังจาก ได้รับ พลังงานแม่เหล็กเข้าไป พูดง่ายๆ คือ ยิงหรือส่ง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไป เวลา วัตถุ ถูกกระทบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็จะเหนี่ยวนำให้ วัตถุนั้นปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ในทางการแพทย์พบว่า วัตถุที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ จะส่งคลื่นออกมา แตกต่างจาก วัตถุที่เป็นของแข็งไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจุดนี้เอง เป็นจุดเด่นของ MRI คือ สามารถมอง หรือ แยกออกได้ว่า วัตถุ หรือ อวัยวะ หรือ ชิ้นเนื้อที่เราเห็นในภาพ มีน้ำ หรือเลือดเป็นส่วนประกอบอยู่หรือไม่ เช่น ก้อนที่พบหากเป็นมะเร็ง จะมีเลือดมาเลี้ยงเยอะ ขณะที่เป็นพังผืด หรือ เนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งจะมีเลือดมาเลี้ยงน้อย ภาพที่ปรากฏใน MRI จึงต่างกัน …. ตรงนี้ อีกเช่นกัน ส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อ ก็จะเห็นรายละเอียดได้มากขึ้น ว่า กล้ามเนื้อ(ซึ่งปกติมีเลือดไปเลี้ยงมาก) จะสามารถแยกออกจากเส้นเอ็นได้ หรือ แยกออกจาก เส้นประสาทได้ ทำให้เราเห็นขอบเขตของเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น
-ในเทคโนโลยี ปัจจุบัน มีการใช้ MRI ที่ละเอียดขึ้นไปกว่านั้น โดยเฉพาะการตรวจการทำงานของสมอง โดยสามารถ ตรวจการใช้พลังงานของสมอง ตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป เช่น เวลาคิดจะสั่งให้มือไปหยิบของ จะสามารถดูได้ว่า สมองส่วนไหนทำงานก่อน และ สั่งงานต่อไปที่สมองส่วนไหนบ้าง เป็นขั้นเป็นตอน โดยอาศัย การตรวจจับสารที่มีกลูโคส สำหรับการใช้พลังงาน เรียกการตรวจชนิดนี้ว่า functioning MRI หรือ fMRI
-ข้อจำกัด หรือ ข้อด้อยของ MRI คือ ใช้เวลานาน และ คนไข้หลายคน กลัวที่แคบ หากต้องอยู่นานๆ จะมีอาการ และ อีกอยากหนึ่ง ด้วยความที่ใช้ คลื่นแม่เหล็ก บริเวณห้องที่จะตรวจ จึงต้องไม่มีโลหะ อยู่ ใกล้ๆ เลย อุปกรณ์ทุกอย่างต้องพิเศษหมด และ คนไข้ หรือ บุคลากร ก็ต้องไม่มี เหล็ก หรือ โลหะ ติดเข้าไปในห้อง
-ทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเห็นภาพของอวัยวะและสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายเรา เพียงแต่ MRI เห็นมากขึ้นได้ว่า ส่วนไหน มีน้ำหรือมีเลือดอยู่ด้วย .. MRI ไม่ใช่ เครื่องมือ ที่จะบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร แต่เป็นเครื่องมือ ที่ช่วยให้แพทย์ มีข้อมูล ในการนำมาปะติดปะต่อ เข้าด้วยกัน และ วินิจฉัย หรือ สันนิษฐานโรคได้ถูกต้อง แม่นยำ มากขึ้นเท่านั้นครับ