-โดยทั่วไป แพทย์จะได้รับการสอนมาว่า หากมี อาการ ปวด บวม แดง ร้อน จะเป็นเรื่องของ การอักเสบติดเชื้อ ซึ่งมักจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ด้วยยาปฏิชีวนะ หรือ หากเป็นมาก ก็ต้องฉีดยา หรือ ถ้ามีหนองก็ต้องผ่าตัดเพื่อเจาะระบายหนองออก เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ
-แต่ในบางกรณี อาการ ปวด บวม แดง ร้อน อาจจะไม่ชัด หรือไม่ครบ ซึ่ง เป็นผลจากการอักเสบส่วนที่อยู่ลึกๆ ได้ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ฝีที่สะโพก ฝีที่อุ้งเชิงกราน รากฟันอักเสบ ฯลฯ ในการวินิจฉัยภาวะเหล่านั้นจึงต้อง อาศัย ประวัติ และ การตรวจร่างกายที่ละเอียดขึ้น ร่วมกับ การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยยืนยัน หรือ พิสูจน์ว่า เป็นการอักเสบจากเชื้อโรคหรือไม่
-ขอเล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ชิด..ในช่วงที่ผมเพิ่งกลับจากออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เดินเท้าที่ต่างจังหวัด คุณแม่ปรึกษาว่า ช่วงที่ผมไม่อยู่ ปวดที่น่องและข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง ซ้ายมากกว่าขวา มองเห็นเป็นปื้นแดงๆ และ เท้าบวม จึงได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ตรวจ และ เจาะเลือด ได้ให้การรักษา โดยการให้ยาปฏิชีวนะมาทาน พร้อมกับยาแก้ปวด ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ยังไม่ดีขึ้น ไปตรวจติดตาม ก็ยังได้รับยาเดิมกลับมา… เมื่อผมได้ตรวจคุณแม่ พบว่า ลักษณะของ การ บวม แดง ไม่เหมือนกับการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย และ ก็ไม่ร้อนด้วย อากรปวด ก็ไม่เข้ากับการอักเสบติดเชื้อของผิวหนัง หรือกล้ามเนื้อที่น่อง … กลับพบลักษณะของ เลือดดำที่คั่งที่บริเวณ น่อง และ เท้า ซึ่ง การคั่งของเลือดดำที่น่องและ เท้า เป็นส่วนต่อเนื่อง เกี่ยวเนื่องกับภาวะเส้นเลือดขอด โดยที่เส้นเลือดขอด จะมีเลือดดำคั่ง ไหลกลับสู่หัวใจได้ช้า จะเป็น เส้นเลือดดำโป่งออก ขยุกขยุยคล้ายตัวหนอน แต่กล้ามเนื้อและ ผิวหนัง เป็นปกติ
–ภาวะเลือดดำคั่งที่เท้าและน่อง จะเป็นระยะของโรคที่เป็นมากกว่าเส้นเลือดขอด คือ มีเลือดดำซึมออกมานอกเส้นเลือด เลือดไม่สามารถกลับเข้าเส้นเลือดดำ และ ไม่สามารถไหลกลับเข้าหัวใจได้ตามปกติ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว บวมขึ้น สีผิวหนังคล้ำขึ้น บางครั้ง เห็นเป็นเส้นเลือดดำฝอยๆ ใต้ผิวหนัง และ บางครั้ง ก็มีอาการปวด ซึ่ง เกิดจาก ของเสียคั่งอยู่ในเนื้อเยื่อ หากปล่อยไว้นาน อาจจะกลายเป็นแผลที่ไม่หาย หรือ หายช้า … ลักษณะดังกล่าว มักจะค่อยๆเป็น แต่บางครั้ง หากมีการคั่งของเลือดดำกะทันหัน ก็มีอาการแบบเฉียบพลันแบบนี้ได้ครับ … นี่จึงเป็นเหตุ ให้วินิจฉัยผิด และ รักษาไม่หาย
-ในการรักษา คือ ยกเท้าสูง เพื่อให้เลือดดำไหลกลับเข้าหัวใจได้ดีขึ้น ใส่ถุงน่อง หรือ ถุงเท้า ที่กระชับ และ รัด เพื่อช่วยไม่ให้เลือดคั่ง ร่วมกับ การนวดกล้ามเนื้อตั้งแต่ น่องถึงต้นขา เพื่อให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น .. หลังจากปฏิบัติตัวดังกล่าว คุณแม่เล่าว่า คืนนั้น ก็หายปวด และ วันรุ่งขึ้น ก็สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ (โดยยังใส่ถุงเท้ารัดแน่นอยู่) ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ และ ไม่ต้องกินยาแก้ปวด
-บางครั้ง การวินิจฉัยโรคก็ไม่ง่ายเลยครับ ต้องอาศัย องค์ประกอบ ที่เข้ากันได้ หากยังพบว่า มีบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้ ก็อาจจะต้อง ลองหาวิธีวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่นหรือไม่ครับ .. และ โรค เลือดดำคั่ง หรือ venous insufficiency ก็อาจจะไม่ได้รับการสอนหรือ สนใจ ในหมู่นักศึกษาแพทย์ด้วยสิครับ ทั้งที่เจอได้บ่อยพบสมควร ในผู้หญิง และ คนสูงอายุ ที่ สมัยหนุ่มสาว ต้องยืน ทำงานนานๆ