-ในการออกหน่วยรอบนี้ พบหญิงสาว ที่ “ฝังยาคุมกำเนิด” ได้แค่ ปี เศษๆ มาขอให้เอายาคุมที่ฝังไว้ที่ท้องแขนออก … ทั้งๆ ที่สามารถมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้นานถึง 5 ปี และ ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดสูงมาก ถึง 99% อีกทั้ง ตอนที่ฝังยาคุมกำเนิด ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูง หลัก หลายพัน บาท และ เบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ด้วย
-จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ทำไม ถึงอยากเอายาคุมที่ฝังไว้ออก
-ยาคุมกำเนิด แบบ ฝังที่ท้องแขน เป็นยากลุ่ม โปรเจสเตอโรน และ บรรจุอยู่ใน สิ่งห่อหุ้มพิเศษ ที่จะค่อยๆ ปล่อยให้มีตัวยา ซึมออกมาใต้ผิวหนัง และ เกิดการดูดซึม ทำให้ระดับยาในร่างกายสม่ำเสมอ เพียงพอ ต่อการคุมกำเนิด มีฤทธิ์อยู่ได้นานมากตั้งแต่ 2 – 5 ปี ทำให้ไม่ต้องคอยจำว่ากินยาหรือยัง ฉีดยาหรือยัง ลืมใส่ถุงยางหรือไม่ หรือ ต้องคอยนับวัน โดยยาดังกล่าว จะไปยับยั้งการตกไข่ และ ทำให้ มูกที่ปากมดลูกเหนียว ข้น โอการที่ตัว อสุจิ จะเคลื่อนผ่านไป ได้ยาก และ เมื่อไม่มีการตกไข่ ก็จะไม่มีลูก … ข้อดีของยาคุมแบบนี้ คือ เมื่อนำออก ไป อีกไม่นานเกิน 1-2 เดือน ก็ตั้งท้องได้แล้ว และ มีผลทันที หลังฝังใส่ไว้ใต้ท้องแขน เพียง 1-2 วัน
-ในเมื่อมีข้อดีแบบนี้ ก็ไม่น่าจะต้อง มาขอหมอให้ ผ่าตัดเอาออก (การนำยาคุมแบบฝังออก ต้องฉีดยาชา ผ่าตัด) แต่ในความเป็นจริง ยาคุมแบบฝัง ก็มีผลข้างเคียง ที่ทำให้กวนใจมากที่สุด คือ มีประจำเดือน มา เล็กกๆ น้อยๆ ได้เกือบทุกวัน แค่ติดกางเกงใน แต่ไม่ออกมามากเหมือนประจำเดือน นอกจากนี้ บางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ น้ำหนักขึ้น ฯลฯ …. ในผู้ป่วยรายนี้ พอ ถามถึงสาเหตุ ก็บอกว่า ไม่ชอบ เพราะ มีประจำเดือนออกมาเกือบทุกวัน
-ทำให้ คิดว่า เวลา จะแนะนำให้ผู้ป่วย หรือ ผู้ที่ไม่ป่วยเข้ารับบริการทางการแพทย์แต่ละครั้ง ควรจะบอกข้อมูลให้ผู้ป่วยอย่างครบถ้วน ทั้งด้านที่ดี และ ด้านที่ไม่ดี เพราะจุดเล็กๆ ที่ไม่ดี ในบางคน อาจจะรับไม่ได้ จะเจอสถานการณ์แบบเดียวกับที่เล่าให้ฟังครับ