นิทาน “ยายกะตา” ภาคงานบริหาร

-ต่อเนื่องจากนิทาน ยายกะตา ปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า ที่เล่าไป ว่า เป็นการสอนเรื่อง อิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นธรรมะพื้นฐาน ที่อธิบายเรื่อง ความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงไม่มี

-แต่ในนิทานเรื่องนี้ หากมองในมุมการบริหารงาน จะพบว่า มีหลักการบริหาร แทรกอยู่เต็มไปหมด โดยที่ผู้บริหารทั้งหลาย ต้องใช้เงิน ใช้เวลา ในการไปเรียน กันมากมาย… มาลองดูกันครับ ว่ามีมุมไหนบ้างครับ

-เริ่มจาก ยายกะตา ปลูกถั่วปลูกงา เป็นสิ่งที่ ตายายอยากได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีกิจกรรมการดูแล แต่ในความเป็นจริง จำเป็นต้องมีคนช่วย เพราะว่า ยายกะตา ไม่สามารถอยู่เฝ้าถั่วเฝ้างา ได้ตลอดเวลา … จึงมองหา ผู้ช่วย โดยใช้ resource หรือ ทรัพยากร ที่มีอยู่ใกล้ตัว ซึ่งก็คือ หลาน … แต่บังเอิญ เลือกใช้คนไม่ถูกกับงาน ตามหลัก HR เพราะ นิสัยของเด็ก จะชอบเล่นมากกว่าชอบมานั่งเฝ้าอยู่กับที่ และ การทำงาน ก็ไม่มี Motivation จึงทำให้การทำงาน ไม่สำเร็จ มีการทิ้งงาน หรือ ละเลยในหน้าที่ ตรงนี้ จะเป็นว่า ใช้คนไม่เหมาะกับงาน และ ไม่ถูกจริต อีกทั้งยังไม่มีการสร้างแรงจูงใจ …

-จึงทำให้ ความเสี่ยงที่มีอยู่ ปรากฏผลออกมา เป็นข้อเสียคือ กามากินถั่วกินงา เจ็ดเมล็ด เจ็ดทะนาน ซึ่งตรงนี้บอกให้เห็นว่า ผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้น สูง ตามหลักของ Risk assessment เพราะ นกกับกา มีอยู่มากมาย คอยจะกินถั่วกินงา คือ ความถี่สูง และ เมื่อมากิน โดยไม่มีคนเฝ้า ก็ทำให้ความเสียหายสูง หรือ impact สูง ความเสี่ยงจึงสูง .. เมื่อเกิดความเสียหาย จึงเป็นเหตุให้เจ้าของ ถั่วงา คือ ยายกะตา โกรธมาก

-การลงโทษ ด้วย ยายมายายด่า ตามาตาตี เป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปในองค์กร ผู้บริหารเอาแต่สั่ง และ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ได้ดังสั่ง ก็ลงโทษ ซึ่ง เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามหลักบริหาร…. แต่ก็ยังใช้ได้ เพราะ ว่า หลานนั้น dependent หรือ ต้องพึ่งพิงอาศัย อยู่กิน กับตายาย และ ยายกะตา ก็เป็นคนเลี้ยงดูหลานมา หลานจึงยอมถูกด่า ถูกตี ถึงจะไม่พอใจก็ตาม … ความผิดที่เกิดขึ้น ยายกะตา ก็มีส่วน เพราะ เลือกวิธีการ และ แผนการดำเนินการที่ไม่เหมาะสม

-โชคดี ที่หลาน ถึงแม้จะไม่ถูกจริต กับงานเฝ้าถั่ว เฝ้างา แต่หลานก็ เป็นคนฉลาด และ เป็น ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า ควรที่จะเลี้ยงดูไว้ในองค์กร เป็นบุคลากรที่เมื่อเจอปัญหา แล้ว ไม่ย่อท้อ เอาอุปสรรคมาเป็นบทเรียน ไม่ใช่ทิ้งไป หรือ หนีไป หรือ ตีโพยตีพาย หรือ ดื้อเงียบ แต่ หลานกลับพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหา ไปหานายพราน ไปหาหนู ไปหาแมว ไปหาหมา ไปหาไม้ขอน ไปหาไฟ ไปหาน้ำ ไปหาตลิ่ง ไปหาช้าง และ สุดท้าย ไปหาแมลงหวี่ ได้แมลงหวี่ช่วยไว้ จึงทำให้การแก้ไขปัญหาสำเร็จ … จะเห็นว่า หลานมีการคิดนอกกรอบ มีความอดทน มีความไม่ย่อท้อ มีความสามารถในการเจรจา และ การมองเห็นความต่อเนื่องของเรื่องราว

-ตอนแรกที่ทุกคนที่หลานไปขอให้ช่วย ไม่ยอมช่วยเหลือ เพราะว่า “ไม่ใช่เรื่องของเขา” สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่มีผลต่อตัวเขา เป็นหลักบริหารพื้นฐานอย่างหนึ่งเลย คือ การที่คนจะทำอะไรนั้น ต้องมีผลกับเขา เป็น motivation ถึงแม้เขาจะทำได้ มี ability แต่ ก็ไม่ทำ เพราะ ขาด motivation ซึ่ง motivation มีทั้งทางบวก และ ทางลบ … ในนิทานเรื่องนี้ ใช้ motivation ทางลบ หรือ ความเสี่ยง หรือ ผลกระทบ เมื่อทุกคน เห็นว่าจะมีผลกระทบกับตนเอง เห็นถึงความสำคัญในการไม่ให้เกิดผลกระทบกับตนเอง จึงยินดี หรือ ยินยอมที่จะทำ

-เรื่องนี้ happy ending เพราะ กระบวนการบริหาร ซึ่งสอนเราว่า บางครั้ง การทำอะไรหนึ่งอย่างให้สำเร็จ ก็ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ยังมีเรื่องอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมอีกมากมาย ที่เราต้องเตรียมการ เตรียมความพร้อม เพื่อให้มาถึงซึ่ง ความสำเร็จของงาน ตามหลักธรรมะ ที่บอกว่า ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย ถ้าเราทำเหตุปัจจัยให้ถูก ผลที่ถูกก็จะตามมา แต่ เหตุปัจจัย ยังมีผลจาก เหตุอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมากระทบ ตามหลักของ อิทัปปัจจยตา

-ยายกะตา สอนเราหลายเรื่องนะครับ เป็นสิ่งที่คนเก่งหลายคน ก็สกัดออกมา ทำบทเรียนสอนเราในเชิงบริหาร แต่จะเห็นว่า หลาน ก็สามารถเรียนรู้เอง ทุกท่านก็สามารถเรียนรู้เอง เพียงแต่ ต้องมี case study มีตัวอย่าง และ มีการคิดวิพาทย์จากกรณีตัวอย่าง ซึ่ง มีอยู่มากมายในชีวิตประจำวัน ทุกวันนี้ สื่อ social เร็วมาก ทุกเรื่อง ที่เราเห็น หากเราถอดบทเรียน เราก็จะมีโอกาส และผิดพลาดน้อยลง อยู่ในสังคมที่ดีขึ้นครับ … ในอดีต ใช้การเล่านิทาน และ นิทานชาดก มาเป็นเครื่องมือ ในการเรียนรู้ของสังคม ปัจจุบัน เราสามารถ ปรับใช้สื่อ ด้านอื่นได้ครับ


นิทาน “ยายกะตา”  ภาคงานบริหาร