จับคู่ครู สร้างคน

-เรารู้ว่า ครูดี สร้างคนดี ครูที่สามารถ ชี้แนะ, กลั่นกรองความรู้ที่ถูก, ใช้งานได้ Feedback ให้รู้ว่า วิธีการที่ลูกศิษย์ใช้อยู่ในการหาความรู้หรือทำงาน เหมาะสมกับ สถานการณ์ใดบ้าง และ ไม่เหมาะสม หรือควรปรับปรุงอย่างไร, มีเมตตา และ กรุณาอยากให้ศิษย์ได้ดี ได้พัฒนา ได้มีความสุข … ครูดี แบบนี้ เราจะมีให้มากพอไหม และ คนที่จะ ชี้แนะ กลั่นกรองความรู้ ความรู้ ก็มีความลึก และ ละเอียด ในแต่ละสาขา ไม่เท่ากัน อย่างเช่น นักบิน จะรู้ลึกเรื่องแพทย์ได้ไหม หรือ แพทย์จะคุมงานก่อสร้าง หรือ ไฟฟ้า ได้เหมือนวิศวกรไหม … ครูที่จะสอน ก็คงไม่สามารถสอนลึก ข้ามสาขาได้

-นี่เอง คงเป็น เหตุผล ที่ต้องมีครูมากมาย … แต่ในความจริง ถึงมีคุณครูมากมาย ไม่สามารถ สอนความรู้ได้ละเอียดลึกซึ้งในทุกสาขา … และ คนที่มีความรู้ละเอียดลึกซึ้งในแต่ละสาขา ที่พร้อมจะเป็นครู ก็คงมีอยู่ไม่มาก อย่างเช่น ครูที่จะสอน ศิลปะ ด้าน โขน ก็คงมีนับคนได้ในประเทศครัรบ

-ณ จุดนี้ ปริมาณครู จึงไม่น่าจะใช่คำตอบ … การวัดผล การบริหารการศึกษา หรือ ดูผลการประกอบการ ด้าน การศึกษาภาคบังคับ หากจะใช้ จำนวนครู จำนวนโรงเรียน หรือ อัตราส่วนจำนวน ครูต่อนักเรียน เป็น KPI จึงน่าจะเป็นแนวคิดที่ผิดแนว ผิดเป้าที่แท้จริง … การที่ผู้รับผิดชอบ และ คนที่ทำงานในระบบ ตื่นตระหนก กับ จำนวนโรงเรียน ที่ถูกปิด เพราะ ไม่มีนักเรียน  และ พยายามดิ้นรน บนพื้นฐานความคิดเดิม คือ ต้องมี โรงเรียน มีครูประจำชั้น มีอัตราส่วน ครูต่อนักเรียน 1:XX และ หาวิธีการที่จะคงให้ โรงเรียน อยู่ได้ ภายใต้เงื่อนไข ที่ โรงเรียนต้องมีครูใหญ่ มีครู อย่างน้อยกี่ คน นักเรียนอย่างน้อย กี่คน มีห้องเรียน มีห้องศิลปะ มีสนาม มีห้องสมุด มีโรงอาหาร … รูปแบบ ที่ต้องมีโรงเรียน และ มีครูตามมาตรฐานแบบนี้ … ยิ่งพยายาม ก็ยิ่งตกที่นั่งลำบาก ที่ต้องใช้งบประมาณ และ ทำไม่ได้

-อยากชวนให้มองกลับมาดูที่พื้นฐาน ที่เราอยากให้มี ครูดี อย่างไร… ครูที่มีคุณสมบัติที่เป็นครูที่ดี สามารถ จับคู่ดูแลนักเรียนที่ดี ได้อย่างไร ในบริบท ที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ได้มีนักเรียนมากมาก และ นักเรียน ก็อยู่กระจัดกระจายกัน ยากแก่การที่นักเรียนเดินทางมาหาครู และ ครูมาหานักเรียน … การมองบริบท input และ process อาจจะต้องมี segmentation เพื่อให้ได้ output และ outcome ที่ต้องการ

segmentation คือ การแบ่งกลุ่ม ของ ทักษะ และ ความรู้ เช่น  การสอนทักษะ 1) การคิด การใช้ชีวิต การแปล แยกแยะความหมายของสิ่งที่รับรู้ การแปลความหมายในการสื่อสาร และ ปฏิกิริยาตอบโต้ในเชิงสังคม หรือ วินัย เป็น ทักษะ พื้นฐาน สำหรับ การหาความรู้ ในระดับถัดๆไป 2) ทักษะการใช้ภาษา และ การมองภาพเชิงมิติ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เบื้องต้น จำเป็นต้องสอนให้ เด็กทุกคนมี … ส่วนความรู้ 3) เชิงสุนทรียะ และ ศิลปะ หรือ 4) กลุ่มการใช้กล้ามเนื้อ การออกกำลัง และ กีฬา เป็น อีก กลุ่ม ที่การเรียนรู้ อาจจะต้องใช้บริบทที่แตกต่างกันออกไป  … การจัดให้เด็กๆ มีพัฒนาพื้นฐานทั้ง 4 ด้าน ไม่จำเป็นต้องมีการแบ่งชั้น เป็น ประถม 1 ประถม 2 หรือ มัธยม 1 มัธยม 2

-ใน segment อื่นๆ ที่ต้องการความรู้เฉพาะ จะแปลตามความชอบ และ ความต้องการของ แต่ละคน ซึ่ง หาก จัดให้มีแหล่ง ที่จะศึกษา หรือ แม้แต่ ปรึกษา ทางไกล ร่วมกับ การขวนขวายหาความรู้เอง โดยมีครูเป็นผู้ตรวจสอบ หรือ ชี้แนะ เราก็จะสามารถ ให้ความรู้ ของเด็ก แม้ผ่านระบบ ทางไกล ที่ไม่ขึ้นกับ พื้นที่ หรือภูมิศาสตร์

-การมองทรัพยากรที่มี ให้ ดำเนินการ ในสภาพแวดล้อม ที่เหมาะกับ บริบท ของ segment ของสิ่งที่เราจะพัฒนา … เราก็จะสามารถ สร้างคน สร้างครู ที่ดี ทำงานได้อย่างมีความสุข และ ตามความถนัด … ไม่ต้องสร้าง แบบเน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ และ ครู ก็รู้ว่าความสามารถของตนเองอยู่ที่ไหน และ จะไปใช้ความสามารถ ให้เกิดประโยชน์กับ ลูกศิษย์ ได้อย่างไร

-ในชีวิตจริง เรา เอง ก็ทำ segmentation และ tailor หรือ เลือกปฏิบัติแบบเฉพาะเจาะจง กับชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว แต่ เราไม่ได้ นำเอา วิธีการที่เราใช้ได้ผล ในชีวิตประจำวัน มาปรับใช้กับ ระบบการศึกษา .. เรายังติดกรอบ กับ การ ”สั่ง” ด้วยวิธีคิดว่า การศึกษา คือ ภาคบังคับ …บังคับ ประชาชน ที่จะมาเรียน

-การบริหารจัดการ ให้มีครู ที่เหมาะกับ การสอนแต่ละแบบ และ จัดสิ่งแวดล้อม ที่เหมาะกับ การสอนแบบนั้น  ให้ครู กับ นักเรียน ได้ใช้เวลา ใช้ศักยภาพ ในการเรียนรู้ร่วมกัน เราก็จะได้ผลลัพธ์ แบบที่ต้องการ ภายใต้ การประเมินผล การเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพ … ไม่จำเป็นต้อง เรียนแบบ ผ่านทีละชั้นเรียน หรือ เข้าห้องเรียน แบบที่เราทำอยู่ โดยที่ เมื่อไม่มีนักเรียน ก็ต้องปิดโรงเรียน แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


จับคู่ครู สร้างคน