–เวลามีความเครียด เรามักจะไม่มีความสุข … งานวิจัยพบว่า เมื่อเราเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือมีเมตตา สมองจะเครียดน้อยลง ตัดสินใจง่ายขึ้น และ มีความสุขมากขึ้น … และ สมองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราสามารถฝึกสมองให้ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือ มี เมตตาได้ ด้วยการทำซ้ำๆ … มีการศึกษาทางการแพทย์ สนับสนุนความรู้นี้ครับ
-มีการศึกษาในอาสาสมัคร จำนวน 41 คน ถูกสุ่มให้ ฝึกบทเรียน ที่พร่ำสอน ให้เห็นว่าการเห็นอกเห็นใจดียังไง กับ กลุ่มที่รับบทเรียน ว่า ต้องดู ต้องสงสัย อย่า ให้อะไรผ่านไปง่ายๆ กลุ่มละเท่าๆกัน โดยนัดอาสาสมัคร มา 3 ครั้ง … ครั้งแรกอธิบาย การทดลอง พร้อมกับ ในฝึกเข้าเครื่อง ตรวจคลื่นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (fMRI) เพื่อดูการทำงานของสมองส่วนต่างๆ … ครั้งที่ 2 หลังจาก ครั้งแรก 1 สัปดาห์ ทำการ ตรวจ คลื่นไฟฟ้าสมองก่อนทำการศึกษา เพื่อไว้เปรียบเทียบ (pre-) จากนั้นจึง สุ่มกลุ่มตัวอย่าง พร้อมกับ แจกบทเรียน และ ให้เริ่มปฏิบัติตามบทเรียนที่ได้รับ โดยให้อาสาสมัคร กลับไปทำตามบทเรียนที่ได้รับ ทุกวัน วันละอย่างน้อย 30 นาที … จากนั้นจึงนัดอาสาสมัคร มาครั้งที่ 3 โดยให้ทำการทดสอบ ในภาวะจำลอง โดยที่ สร้างสถานการณ์ เสมือนจริง ได้ยิน และ รับรู้การพูดคุยระหว่าง ผู้กระทำ และ ผู้ถูกกระทำ โดยอาสาสมัคร จะรู้ว่า ผู้กระทำได้รับแจกเงินจำนวนเท่าไหร่ (ระหว่าง 1-10 US dollars) โดยผู้กระทำมีสิทธิที่จะเลือกให้ผู้ถูกกระทำ 1 US dollar หรือ ไม่ให้ก็ได้ … จากนั้น อาสาสมัครได้รับแจกเงิน 5 US dollars สามารถเลือกที่จะให้เงินแก่ผู้ถูกกระทำ เท่าไหร่ก็ได้ ให้หรือไม่ให้ก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้า แจกเงินให้ผู้ถูกกระทำไปเท่าไหร่ ผู้ถูกกระทำจะได้รับเงินเพิ่มเป็น 2 เท่าของที่แจกไป ส่วนเงินที่เหลือ อาสาสมัคร ก็เก็บไว้ เอง
-ในผลการศึกษา พบว่า กลุ่มที่ถูกฝึกให้เห็นอกเห็นใจ เลือกที่จะให้เงินแก่ผู้ถูกกระทำมากกว่า คือ มีการให้เงิน ถึง 57% ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง ให้เงินเพียง 31% และ จำนวนเงินที่ให้ ก็มากกว่า อีกกลุ่มถึง 1.84 เท่า … ในที่นี้ อยู่ภายใต้สมมุติฐานว่า เวลา เห็นความไม่ยุติธรรม (ที่ผู้กระทำ ได้เงินมาเยอะ แต่ไม่ยอมแบ่งให้ผู้ถูกกระทำ) ย่อมกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม ความเห็นอกเห็นใจ
-ในการศึกษานี้ ยังได้ทดสอบความเครียดของทั้ง 2 กลุ่ม และ พบว่า กลุ่มที่ฝึกเห็นอกเห็นใจ เครียดน้อยกว่า (ในดูรูปภาพ ที่น่าหวาดเสียว หรือ เครียด สลับกับ ภาพปกติ แล้ว วัดการทำงานของสมอง) … และ ในการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองของ สมอง DLPFC ซึ่ง เป็นสมองส่วนความนึกคิด ตรรกะ และความสำนึกถูกผิด พบว่า กลุ่มที่ฝึกความเห็นอกเห็นใจ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน มากมาย ในทางที่ดีขึ้น ทำงานเร็ว และ ทำงานดีขึ้น
-การศึกษานี้น่าสนใจ ใช่ไหมครับ เราคิดว่า สมอง เป็นตัวกำหนด พฤติกรรม และ การกระทำ แต่การศึกษานี้บอกเราว่า เราสามารถใช้พฤติกรรม ฝึกสมองได้ สร้างสิ่งแวดล้อม ให้สมองรับรู้ และ สมองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ จากการกำหนดสิ่งแวดล้อม หรือ กิจกรรมให้กับสมองของเรา .. เราจึงเห็นฝรั่ง เข้าโบสถ์ คนไทยชวนเด็ก ใส่บาตร เข้าวัด ฟังธรรม และ โรงเรียน หรือ องค์กร จัดฝึกให้มีกิจกรรมช่วยเหลือสังคม (ตอนเด็กๆ โรงเรียน พาไปกวาดใบไม้ในวัด ฯลฯ)