เรามีคนรู้จัก หรือคนในครอบครัว ที่เป็นเบาหวาน กันเกือบทุกคน … และ เราก็เห็นคนเหล่านั้น ส่วนใหญ่ เดินไป เดินมา ทำงานได้ ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ รู้แต่ว่า เวลาไปตรวจเลือด ไปหาหมอ หมอก็มักจะบอกให้คุมน้ำตาลในเลือด ให้กินยา ให้คุมอาหาร … หน้าตาของหมอเบาหวานส่วนใหญ่ ซีเรียส แต่ เราก็ไม่เห็นคนเป็นเบาหวานเป็นอะไรเลย ไม่รู้จะ ซีเรียสกันไปทำไมให้มากมาย … มาลองดูข้อเท็จจริงกันหน่อยครับ ว่าทำไม หมอเบาหวานถึง ซีเรียสกับเรื่องเบาหวานนัก
น้ำตาลสูงในเลือด ก่อเรื่องวุ่นวายให้กับร่างกาย และ ทำให้หมอๆ เป็นห่วงคนไข้ที่เป็นเบาหวาน …น้ำตาลสูง สร้างปัญหาผ่านเป้าหมายหลัก ที่เสียหายจากเบาหวานเพียงอย่างเดียว คือ ผนังหลอดเลือดครับ … น้ำตาลในเลือดสูง สร้างความเสียหายให้กับหลอดเลือดครับ … มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างชัดเจน
หลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะ หลอดเลือดฝอย ซึ่ง เป็นส่วนปลายสุดที่นำอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะมีโครงสร้าง ที่เป็นเซลล์เยื่อบุชั้นบางๆ คลุมที่ด้านในผนังหลอดเลือด (คล้ายกับเยื่อบุกระพุ้งแก้มที่คลุมในช่องปาก แต่เยื่อบุผนังหลอดเลือด คลุมด้านในหลอดเลือด) เยื่อบุผนังหลอดเลือด หรือที่ศัพท์การแพทย์ เรียกว่า endothelium เป็นส่วนที่สัมผัสกับเลือดอยู่ตลอดเวลา และ มีการยืดหดตัว เพื่อรักษาความดันในเส้นเลือด ป้องกัน การรั่วไหลของเลือด หรือ น้ำเหลืองออกนอกเส้นเลือด และ เป็นตัวกระตุ้นให้มีเกร็ดเลือดมาเกาะตัว เวลาที่เส้นเลือดได้รับบาดเจ็บหรือมีเลือดออก …จะเห็นว่า เยื่อบุผนังหลอดเลือด ทำงานมาก และ มีความสำคัญมาก จึงต้องมีความแข็งแรง และ หนึ่งในสารเคมีที่ถูกสร้างออกจากผนังหลอดเลือด คือ NO (nitric oxide) ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลสารต้านอนุมูลอิสระ … ผนังหลอดเลือด ที่แข็งแรง และ ปกติ จะสามารถผลิต สาร NO ออกมาเมื่อได้รับสารที่เป็นพิษ หรือ ได้รับอันตราย หรือบาดเจ็บ เรียกระบบที่ผลิต NO นี้ว่า eNOS (endothelial nitric oxide synthase)… นั่นคือ หากวัดปริมาณ eNOS ที่ผนังหลอดเลือด ก็จะรู้ว่า หลอดเลือดนั้น แข็งแรงไหม พร้อมที่จะเผชิญ กับ สารพิษ หรือ พยันตรายที่จะมาทำร้ายผนังหลอดเลือดหรือไม่ ถ้ามีน้อย ไม่ดี ถ้ามีมาก ถือว่าดีครับ
มีการทดลอง นำเซลล์ของผนังหลอดเลือดหัวใจมาเลี้ยงในหลอดทดลอง และ เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่สารน้ำมีระดับน้ำตาลปกติ และ ระดับน้ำตาล สูง นาน 7 วัน พร้อมกับ ทดลอง ในสภาพ ที่มี อินซูลิน (สารควบคุมระดับน้ำตาล) และ กลูคากอน (สารที่ดึงน้ำตาลไปใช้) จากนั้น ตรวจวัดหาความแตกต่างของระดับ eNOS … ในการศึกษาพบว่า ในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำตาลสูง ปริมาณ eNOS จะต่ำกว่าปกติ และ ในสภาพที่มี อินซูลิน และ กลูคากอน จะมี eNOS ดีขึ้น ถึงแม้ว่า จะมีน้ำตาลในเลือดสูงก็ตาม แต่ ก็ยังดีไม่เท่าปกติ … จากข้อมูลตรงนี้ แสดงให้เห็นว่า หากน้ำตาลในเลือดสูง เยื่อบุผนังหลอดเลือด จะมีความเสี่ยงที่จะเสียหายได้ง่าย และ ซ่อมแซมตัวเองได้น้อย เพราะไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระ มาคอยช่วยเหลือ … นั่นคือ น้ำตาลสูง ผนังหลอดเลือด จะเสื่อม และ เสียหายง่าย และ ซ่อมยาก กว่าปกติ
จากการศึกษานี้ ทำให้เรารู้ว่า หากจะให้เส้นเลือดแข็งแรง ต้องมีระดับน้ำตาลในเลือด ในเกณฑ์ ปกติ …น้ำตาลในเลือดสูงเมื่อไหร่ ความเสี่ยงที่เส้นเลือดเสียหายจะเกิดทันที เพียงแต่ ความเสี่ยงนี้ จะค่อยๆส่งผลช้าๆ ไม่ใด้ใช้เวลาเป็นวัน แต่ใช้เวลาเป็นปี เมื่อเส้นเลือดเสียหาย ทั้ง เส้นเลือดที่ตา (จอประสาทตาเสื่อม) ที่ไต (ไตวาย) ที่เท้า(เท้าเป็นแผลไม่หาย) ที่หัวใจ(เส้นเลือดหัวใจตีบ) ที่สมอง (เส้นเลือดสมองอุดตัน หรือ แตก) ฯลฯ ครับ ทุกโรค เป็นผลจากเบาหวาน หรือ การปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูง เส้นเลือดฝอยในอวัยวะต่างๆเสียหาย และซ่อมแซมตัวเองไม่ได้ครับ
ร่างกายเรารู้เรื่องนี้ดี จึงให้มี อินซูลินมาคอยควบคุมระดับน้ำตาล … แต่ความสามารถของอินซูลินในการควบคุมน้ำตาลในเลือด มีจำกัด ทำได้แค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น ยิ่งเราอายุเยอะขึ้น ความสามารถในการผลิตอินซูลินก็ยิ่งลดลง ยิ่งเราใช้อินซูลินมากเท่าไหร่ ปริมาณอินซูลินก็ยิ่งเหลือน้อยเท่านั้น….. หากเรากินของหวานไม่ยั้ง ไม่ช่วยอินซูลิน ในการควบคุมน้ำตาล น้ำตาลก็จะสูง และ เข้าสู่วงจร ของการเสียหายของเส้นเลือด และ ผลจากภาวะเบาหวาน จะปรากฏให้เราเห็นในโอกาสต่อไป ถึงตอนนั้น เส้นเลือดที่เสียหายไปแล้ว ก็ซ่อมไม่ได้แล้วครับ
เข้าใจ และ ดูแลเบาหวานอย่างถูกหลักกันนะครับ … เข้าใจหมอเบาหวานแล้วนะครับ ว่า ทำไมเขาถึงเป็นห่วงเรามากขนาดนี้ เพราะ เขามองเห็นครับ ว่าเส้นเลือดในร่างกายเรา จะเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงตลอดครับ