ตรวจหาน้ำตาล ในเลือด แต่ละวิธี ต่างกันอย่างไร

-เดี๋ยวนี้ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อดูแลผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ตรวจหาความเสี่ยงเบาหวาน มีได้หลายวิธี ไม่ใช่ว่าจะต้องไป โรงพยาบาล เจาะเลือดเป็นหลอดๆ เหมือนเมื่อสมัยก่อน … แล้ว แต่ละวิธี เชื่อถือได้ไหม มีประโยชน์ต่างกันอย่างไร และ วิธีการในการวิเคราะห์ ต่างกันอย่างไร

วิธีเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ ใส่หลอดเจาะเลือด และส่งไปตรวจที่ห้องแล็บ เป็นวิธีที่ได้มาตรฐานสูงสุด เพราะ มีกระบวนการพัฒนา วิธีการตรวจมานานแล้ว และ ได้รับการปรับปรุงจนเชื่อถือได้ ถือเป็น มาตรฐานที่ใช้อ้างอิง ในการดูแล และ รักษาได้ … หลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับ การตรวจหาน้ำตาลในเลือด มีลำดับ ดังนี้ คือ เมื่อเรากินอาหาร หรือ ร่างกายผลิดน้ำตาล จากตับ หรือ จากไขมัน ที่สะสมไว้ จะมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือด อยู่ในส่วนของน้ำเลือด (plasma) ซึ่ง เมื่อมีการเจาะเลือดออกจากเส้นเลือดดำ จะต้องนำไปผสมกับ สารเคมี Sodium fluoride (NaF) ที่เคลือบอยู่ในหลอดเจาะเลือด เพื่อหยุดปฏิกิริยาการใช้ น้ำตาล จากเม็ดเลือดแดงที่มากับเลือดที่เจาะออกมา เพื่อให้ได้ระดับน้ำตาลที่ถูกต้อง ไม่ลดน้อยถอยลงไประหว่าง การขนส่งไปยังห้องแล็บ จากนั้น  เมื่อถึงห้องแล็บ จะนำเลือดไปปั่นแยก ส่วนประกอบที่เป็นน้ำเลือด ออกจาก เม็ดเลือด และนำน้ำเลือดนั้น ไปผสมกับสารเคมี เพื่อให้ เกิดปฏิกิริยากับน้ำตาล กลายเป็น สารตัวใหม่ มีเมื่อส่องแสงผ่าน จะได้คลื่นความถี่ของแสงที่เฉพาะ (spectrophotometer) และ วัดความเข้มข้นของแสง เพื่อดูว่า ปริมาณ น้ำตาลมีอยู่มากน้อยเพียงใด… สารเคมีหรือ enzyme ที่ใช้มีอลายแบบ แต่ ทุกแบบ จะได้รับการทดสอบ และ ปรับเทียบค่า กับเครื่องตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าค่าที่วัดได้ถูกต้อง

-ถึงแม้วิธีการเจาะเลือดใส่หลอดเพื่อส่งแล็บ จะแม่นยำมาก แต่ ในทางปฏิบัติ หากผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการการติดตามผลเลือดอย่างใกล้ชิด ต้องตรวจเลือด ทุกวัน หรือ วันละหลายครั้ง เพื่อปรับยา หรือ การตอบสนองต่อการรักษา และ ผู้ป่วยจำเป็นต้องเดินทางมา โรงพยาบาล เพื่อเจาะเลือด ก็ดูจะเป็นภาระ และ ความไม่สะดวกที่มากพอควร จึงมีการคิดค้น วิธีการที่ 2 คือ ใช้การเจาะเลือดปลายนิ้ว blood glucose meters (BGMs) ที่ ใช้เลือดเพียงเล็กน้อย และ ตรวจวัดรู้ผล ได้เร็ว ทันที ซึ่งจะสะดวกกว่ามาก … หลักการของการตรวจน้ำตาลด้วยการเจาะเลือดปลายนิ้ว ก็คล้ายคลึงกับ หลักการอันแรก คือใช้สารเคมี หรือ enzyme ทำปฏิกิริยากับน้ำตาลในน้ำเลือด ที่ออกมาจากปลายนิ้ว และ เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นกระแสไฟฟ้า ขึ้น ทำการ ตรวจวัดกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้น ผ่านแผงวงจรไฟฟ้า ที่เครื่องตรวจ และ แปลผล เป็นปริมาณน้ำตาลที่ตรวจได้ (Amperometry / coulometry) … วิธีการนี้ ถูกใช้งาน และ มีความน่าเชื่อถือในระดับที่เชื่อถือได้ดี ต่างจาก วิธี เจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ ไม่เกิน 10 mg/dl แต่มีความสะดวกรวดเร็วกว่ามาก วิธีนี้ ไม่ต้องใช้สารเคมีเพื่อยับยั้งการใช้กลูโคส เหมือนวิธีแรก เพราะ พอเจาะเลือดเสร็จ ก็ตรวจทันที (ไม่มีเวลาให้ เม็ดเลือดนำกลูโคสไปใช้) แต่จะเป็นต้องมีการเทียบเคียงค่ามาตรฐาน กับ แผ่นตรวจ ในแต่ละ lot เพราะ อาจจะมีการเคลือบน้ำยา ไม่เท่ากัน

-การเจาะเลือดเป็นครั้งๆ หากจะดูผล การเปลี่ยนแปลง ในร่างกายอย่างละเอียด เช่น การเปลี่ยนแปลงหลังกินอาหาร แต่ละมื้อ แต่ละประเภท เจาะเลือดกันบ่อยๆ ก็ดูจะเป็นภาระของ ผู้เจาะ และ เป็นการเจ็บตัวของผู้ถูกเจาะ ทำให้แพทย์มักจะได้ข้อมูลได้ไม่ละเอียด อย่างที่หมออยากรู้ และ การตอบสนองในแต่ละคน ก็มีความแตกต่างกัน จึงมีการคิดค้น วิธีการตรวจวัดน้ำตาลแบบต่อเนื่อง ตลอดเวลา continuous glucose monitors (CGMs) ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการมีแผ่นที่แปะติดตัวคนไข้ และ ที่แผ่นดังกล่าว มีเข็มขนาดเล็ก เจาะเข้าไปในตัวคนไข้ ติดค้างไว้ ซึ่ง ความเล็กของขนาดเข็มที่เล็กมาก ไม่ทำให้ผู้ถูกวัด รู้สึกเจ็บ มักจะแค่รู้สึกรำคาญเหมือนมีอะไรมาสะกิดอยู่เท่านั้น และ เข็มที่อยู่ในร่างกายนี้ ตรงปลายเข็ม จะมีสารเคมี ที่ทำปฏิกิริยากับ สารน้ำในเนื้อเยื่อ (ซึ่ง ซึมออกมาจากสารน้ำในเส้นเลือดอีกที) เมื่อทำปฏิกิริยากัน จะเกิดกระแสไฟฟ้า ทำให้ สามารถวัดปริมาณกระแสไฟฟ้าได้เช่นเดียวกับ วิธีการเจาะเลือดปลายนิ้ว และ ส่งข้อมูลเข้าเครื่องวัดที่ติดอยู่กับตัวผู้ถูกวัด และ ส่งข้อมูลมายังมือถือ เพื่อให้ประมวลผล โดยจะสามารถวัดค่า น้ำตาลในเลือด ทุก 5 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในร่างกายได้ละเอียดขึ้น .. ข้อเสียเปรียบของวิธีนี้ คือ ผลที่ได้จะช้ากว่าความเป็นจริง ราว 10 นาที (เช่น ระดับน้ำตาลที่ได้จากการเจาะเลือดที่เส้นเลือด กว่าจะซึมไปถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ต้องใช้เวลาประมาณ 10 นาที) และ ราคายังแพงอยู่มาก เทียบกับวิธีอื่น ดังนั้น จึงมีการใช้ในรายที่จำเป็นเท่านั้น

-จะเห็นว่าทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ได้มาตรฐาน ได้รับการรับรองจาก อย ของ อเมริกา (US FDA) และ เป็นการทำปฏิกิริยาทางเคมีกับ กลูโคส เพียงแต่วิธีการตรวจเลือด จากหลอด ใช้ การว่าค่าแสง ซึ่ง โอกาส เบี่ยงเบนน้อยมาก ส่วนอีก 2 วิธี ใช้ การวัดค่าไฟฟ้า ซึ่ง อาจจะถูกรบกวน ด้วยปัจจัยต่างๆ หลายอย่าง จึงอาจจะมีความคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย แต่ประโยชน์ในเรื่องความสะดวกมีมากกว่า จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ และ แต่ละคนครับ


ตรวจหาน้ำตาล ในเลือด แต่ละวิธี ต่างกันอย่างไร