ทำยังไงให้ ไม่มี ไขมันเกาะตับ

-เดี๋ยวนี้ เวลาตรวจสุขภาพ หมอเอาเครื่องมาถูที่หน้าท้อง และถ่ายภาพให้ดู พร้อมกับ แจ้งว่า มี “ไขมันเกาะตับ” … ในความรู้สึกของผู้รับการตรวจ  จะเริ่มจินตนาการแล้วว่า เราเป็นอะไร เป็นคนป่วยหรือเปล่า ต้องรีบรักษาไหม … ศัพท์คำว่า “ไขมันเกาะตับ” ดูจะเป็นเรื่องใหม่ .. มาเรียนรู้ร่วมกันครับ

-ในอดีต ตอนที่แพทย์ยังไม่มีเครื่องมือในการตรวจมากมายนัก เวลาป่วยเป็นโรคตับ กว่าจะรู้ ก็มีอาการของ ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับแล้ว … ณ จุดนั้น การรักษาก็ยากมาก เพราะ เป็นระยะโรค ที่เกินกว่าจะรักษาได้แล้ว … แพทย์จึงพยายามหาวิธีการที่จะตรวจสภาพตับ (ไม่ใช่ตรวจสภาพรถ ในระเก่านะครับ 555)  ว่ายังทำงานได้ดีอยู่ไหม .. การเจาะเลือดตรวจมักจะช้า เพราะว่ากว่าที่ ค่าเลือดที่บ่งถึงการทำงานของตับ SGOT SGPT จะผิดปกติ ตับก็มักจะเสียหายไป มากกว่า 70-80% แล้ว … จึงมีความพยายาม ในการตรวจตับด้วย เครื่อง อัลตราซาวด์น ซึ่งภาพที่เห็น จะพบ ลักษณะของ ตับบวมขึ้น ทั่วๆไปทั้งตับ ไม่มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อใดๆ (เวลาเซลล์ตับที่บวมขึ้น มีไขมันไปแทรกอยู่ในเซลล์ตับ จะทำให้การสะท้อนของเคลื่อน อัลตราซาวด์น น้อยกว่าปกติ จะเห็นสี ดำมากกว่าปกติ… increase liver echogenicity)  และในเครื่องมือสมัยใหม่ ก็ทำการคำนวณ ค่า ความเร็วของคลื่นเสียงที่สะท้อนออกมาก เพื่อบอก ปริมาณความหนาแน่น หรือ ความเป็นพังผืด ของตับ และ แปลงให้เป็นรูป เรียกว่า FibroScan … เมื่อเห็นภาพที่ผิดปกติ ก็ทำการตัดชิ้นเนื้อตับ เพื่อมายืนยัน ว่า เกิดความผิดปกติ หรือ พยาธิสภาพอย่างไรบ้างในตับ เป็นการบอกให้รู้ ว่า เนื้อเยื่อ เซลล์ตับ ได้รับความเสียหายไปมากน้อยแค่ไหน

ภาวะไขมันเกาะตับ เป็นระยะเริ่มแรก ของ เนื้อเยื่อเซลล์ตับ ที่เริ่มถูกทำลาย แต่ ยังเป็นระยะที่ตับสามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ … หากการทำลายเซลล์ตับ มากขึ้นไป หรือต่อเนื่องกันไปยาวนานขึ้น และ เซลล์ตับไม่มีโอกาส ซ่อมแซมตัวเอง จะเข้าสู่ระยะ เซลล์ตับที่เป็นพังผืด เป็นตับแข็ง และ เป็นมะเร็งตับในที่สุด … ดังนั้น การพบไขมันเกาะตับ จึงเป็น การตรวจพบที่มีประโยชน์ ช่วยให้เรามีเวลาเตรียมตัว เพื่อช่วยให้เซลล์ตับพื้นตัว กลับมาเป็นปกติได้

-อ่านถึงตรงนี้ หลายท่าน อาจจะเริ่มตั้งคำถามว่า แล้วเราจะสามารถล้างไขมันออกจากตับได้ไหม มียาอะไรที่จะช่วยให้ไขมันหลุดไปจากตับได้ไหม หรือ อาจจะสงสัยว่า แล้ว ไขมันไปเกาะในตับได้อย่างไรกัน … มาดูคำตอบกันครับ

ตับทำหน้าที่หลัก อยู่ 2 อย่าง คือ ด้านหนึ่ง จะเก็บอาหารที่เรากินเข้าไป เป็นโรงงานแปรรูปอาหาร เพื่อ pack อาหารไว้ในรูปต่างๆ ไว้ใช้ยามจำเป็น เช่น แปลง น้ำตาลเป็น ไกลโคเจน , แปลงน้ำตาลส่วนเกิน เป็นรุป กรดไขมัน, แปลงกรดไขมันขนาดเล็ก ให้เก็บรวมกัน เป็นไขมันขนาดใหญ่ ก่อนจะส่งออกไปเก็บไว้ที่เนื้อเยื่อไขมันตามที่ต่างๆ ของร่างกาย .. หน้าที่อย่างที่ 2 คือ การทำลาย สารพิษ ที่อยู่ในกระแสเลือด … ร่างกายเรา เวลาใช้พลังงาน หรือ กินอาหารต่างๆ เข้าไป อาจจะเกิดสารพิษ หรือ สารตกค้าง ที่เหลือจากการใช้งานอยู่ในกระแสเลือด และ สารเหล่านั้น ก็เป็นพิษ กับเนื้อเยื่อ และ ระบบต่างๆ ในร่างกายของเรา ตับจะทำหน้าที่ จับสารพิษเหล่านั้น และ ทำการ pack สารพิษ รวมกับ สารต้านอนุมูลอิสระ ก่อนที่จะขับออกทางน้ำดี เพื่อ ถ่ายออกไปกับ อุจจาระ … ภายใต้หน้าที่อย่างที่ 2 นี้ เซลล์ตับ จึงเจอกับ สารพิษเองเกือบตลอดเวลา โดยทั่วไป เซลล์ตับถูกสร้างมาให้ทนสารพิษได้ในระดับหนึ่ง และ จะคอยใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่เรากินเข้าไป และ ที่เซลล์ตับ ผลิต ขึ้นเอง มาใช้ให้เกิดประโยชน์ หากสารพิษมีไม่มาก เซลล์ตับจะไม่ได้รับอันตราย และ สามารถทำงานได้ปกติ … แต่หากสารพิษมากเกินไป เซลล์ตับทำลายไม่ทัน เซลล์ตับ จะถูกทำร้ายเสียเอง และ ทำงานได้ไม่ดี … เซลล์ตับที่ทำงานได้ไม่ดี  จะทำงาน ในหน้าที่ ที่ 1 ได้น้อยลง ความสามารถ ในการ pack สารอาหาร เก็บน้ำตาล และ ไขมันทำได้ไม่ดีพอ จึง มีก้อนไขมันที่ pack ไว้ ไม่สามารถจ่ายออกไปนอกเซลล์ตับได้ จึง มีไขมันเหลือ ค้างอยู่ในเซลล์ตับ เซลล์ตับ จึงบวมขึ้นกว่าปกติ เมื่อนำชิ้นเนื้อของตับ ที่สภาพไขมันเกาะตับนี้ ไปตรวจ ก็จะพบ ไขมันลอย อยู่ในเซลล์ตับ มากกว่าปกติ เซลล์ตับ จึงบวม และ โตขึ้นครับ

-จากที่เล่า แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้ มีกลไกอะไรเป็นพิเศษ ที่จะ เอา ไขมันไปฝังไว้ในเซลล์ตับ หรือ กลไกที่นำไขมันไปเกาะที่ตับ ถึงแม้จะกินไขมันเข้าไปมาก ก็ไม่เป็นต้นเหตุที่จะทำให้ไขมันไปเกาะที่ตับ … เพราะ ถ้าเซลล์ตับทำงานได้ปกติ ไขมันเหล่านั้น จะถูก นำออกไปไว้ที่อื่น ไม่ไปเกาะตับครับ .. สาเหตุ ที่แท้จริง คือ มีสารพิษ ปริมาณมากเกินกว่าที่เซลล์ตับ จะกำจัดได้ ทำให้เซลล์ตับ บางส่วนถูกทำลาย และ ซ่อมตัวเองไม่ทัน … ดังนั้น วิธีแก้ไขปัญหา ไขมันเกาะตับคือ ทำให้ สารพิษ ลดลง และ เปิดโอกาส ให้เซลล์ตับ ฟื้นตัว ซ่อมแซมตัวเอง (มักจะใช้เวลา ในการซ่อมตัวเอง อย่างน้อย 3-6 เดือน)

สารพิษ ที่เป็นอันตรายต่อตับ มากที่สุด ที่มนุษย์รู้จักกันมานาน คือ เครืองดื่มสุรา ทุกชนิด และ ยา (ยาส่วนใหญ่ มีพิษกับ ตับ ทั้งยาแก้ปวด ยาสมุนไพร ฯลฯ) ดังนั้น นอกจากเรื่อง การดื่มสุราแล้ว หากเรากินยา โดยไม่มีความรู้ และ ไม่ได้รับการควบคุมปริมาณยาที่กิน อย่างละเอียด ซื้อยากิน หรือ กินสมุนไพร ยาบำรุง ตามคำบอกเล่า ตับ ก็จะได้รับอันตราย และ เกิดไขมันเกาะตับได้ครับ… เรื่อง เหล้า และ เรื่อง ยา จึงเป็นต้นเหตุสำคัญของ ไขมันเกาะตับ ถ้าอยากให้ภาวะไขมันเกาะตับหายไป ก้ต้อง หยุด เหล้า หยุดยาที่ไม่จำเป็น … ไม่มียาอะไร ที่กินแล้ว รักษาไขมันเกาะตับได้ครับ

-อีกกลุ่มสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ เกิดภาวะไขมันเกาะตับ ที่นอกจากสารพิษ คือ กลุ่มโรคเบาหวานครับ ภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูง แสดงให้เห็นว่า อินซูลินในร่างกายเราทำงานไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่ง อินซูลิน มีบทบาทสำคัญในการกำกับ การสร้าง เก็บ และ ใช้ สารอาหารในตับครับ .. คนที่มีความเสี่ยงเบาหวาน หรือ เริ่มเป็นเบาหวาน และ มีไขมันเกาะตับ จึงควรมีมาตรการในการควบคุม การใช้น้ำตาลในเลือดด้วยครับ การกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และ ถูกวิธี รวมถึงการออกกำลัง จะช่วยให้ อินซูลิน ทำงานได้ดีขึ้นครับ

-สิ่งที่อาจจะช่วยเสริมให้ ภาวะไขมันเกาะตับ ฟื้นตัวเร็วขึ้น นอกจากการหยุดรับสารพิษ คือ การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่ง ได้แก่ วิตามิน E} ผัก&ผลไม้สีม่วงกลุ่มพวก เบอรี่, หรือ ที่เราสามารถหาได้ และกินได้ปริมาณมากๆ คือ ไข้เท้า ครับ … แต่อย่างไรก็ดี การหยุด สาเหตุ จึงสำคัญมากที่สุดครับ

 


ทำยังไงให้ ไม่มี ไขมันเกาะตับ