เกล็ดเลือดมันเป็นเม็ดๆหรือเปล่าค่ะ

-เป็นคำถามจากคนไข้ ที่ประสบปัญหาเลือดออกต้องได้รับการผ่าตัด และกินยาต้านเกล็ดเลือดอยู่   หมอบอกว่าต้องให้เกล็ดเลือด ร่วมกับการผ่าตัด……เกล็ดเลือดไม่ได้เป็นเม็ด แบบเม็ดพริกไทย หรือน้ำตาล ไม่ได้เป็นผงแบบเกลือ หรือ แป้งครับ แต่เป็นน้ำ เป็นส่วนที่ผสมอยู่ในน้ำเลือดของคนเราครับ .. ลองมารู้จักเกล็ดเลือดกันครับ ว่าทำไมบางคนต้องกินยาต้านเกล็ดเลือด

-ในเลือดของคนเรามีส่วนประกอบ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ส่วนที่เป็นน้ำเลือด (plasma)หรือน้ำเหลือง และ ส่วนที่เป็นสารแขวนลอยในเลือด (blood component) ซึ่งมีทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และ เกล็ดเลือด … ส่วนของน้ำเลือด จะเป็นส่วนที่นำเอาหาร และ เกลือแร่ ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล โปรตีน โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม วิตามิน ต่างๆ ไปส่งยังส่วนต่างๆของร่างกาย รวมถึงนำของเสียที่ร่างกายใช้แล้วออกไปทำลายที่ตับหรือขับออกที่ไต.. อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่น้ำเลือด ซึ่งเป็น blood component เป็น เซลล์ต่างๆ และ ส่วนของเซลล์ ที่อาศัย น้ำเลือด ในการช่วยลำเลียงหรือพาส่วนประกอบเหล่านั้น ไปยังปลายทาง ที่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย … ส่วนประกอบนี้ เป็นเม็ดเลือดแดง เสียเป็นส่วนใหญ่ เราจึงเห็นเลือดเป็นสีแดงครับ องค์ประกอบที่อาศัยมาด้วยกัน กับเม็ดเลือดแดง  คือ เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่เหมือนทหาร ตำรวจ ที่คอยป้องกัน และ ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย … นอกจากนี้ ยังมี เกล็ดเลือด ล่องลอยมาคู่กัน กับ เม็ดเลือดแดง และ เม็ดเลือดขาวครับ

-เกล็ดเลือดไม่ได้เป็นเม็ด ไม่ได้เป็นผง อย่างที่ชื่อเรียก แต่ที่ได้รับการเรียกชื่อแบบนี้ เพราะ เกล็ดเลือดมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับสิ่งที่แขวนลอยอยู่ในเลือด มีขนาดเล็กกว่าเป็นเลือดแดง และ เม็ดเลือดขาวมากๆ  (ประมาณ 1 ใน 10 ของเม็ดเลือดแดง และ 1 ใน 25 ของเม็ดเลือดขาว) เกล็ดเลือดเป็นส่วนของเซลล์ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เฉพาะ เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ที่จะไปปิดรูรั่วของ ผนังเส้นเลือด… ที่ไหนมีเลือดออก ที่นั่น เกล็ดเลือดจะไปรวมตัวกัน และ เรียกเพื่อนๆเกล็ดเลือดด้วยกันมาจับประสานกัน เหมือนตาข่าย ใยแมงมุม เพื่อปิดรูรั่วของ ผนังเส้นเลือด และเป็นตัวส่งสัญญาณเริ่มต้นของการแข็งตัวของเลือด เพื่อให้ลำเลียงอุปกรณ์ หรือ สารห้ามเลือดต่างๆมาในที่เกิดเหตุ เสริมสร้างตาข่ายที่เกล็ดเลือดสร้างไว้ตอนแรก ให้แข็งแรง ปิด ไม่ให้เลือดไหลออกจากผนังหลอดเลือด … ไม่ว่าเลือดออกจะมาก จะน้อย เกล็ดเลือด จะเป็นส่วนแรกที่เข้าไปทำหน้าที่ และ กระตุ้นส่วนอื่นๆ ให้มาช่วยกันทำงานที่เหลือให้เสร็จสมบูรณ์

-ในทางการแพทย์ บางครั้ง แพทย์เองก็ไม่อยากให้มีการแข็งตัวของเลือด เช่นคนที่มีปัญหาเส้นเลือดหัวใจ คนที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะ ว่าถ้าหากในกรณีดังกล่าว มีการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย จากการยืดและหดตัวของเส้นเลือด(ไม่ใช่เกิดจากบาดแผลฉีกขาด หรือ อุบัติเหตุ) แต่เกล็ดเลือดไปกระตุ้นให้มีการแข็งตัวของเลือด เกิดเป็นลิ่มเลือดขึ้นมา และ ทำให้เส้นเลือด หรือ ลิ่มเลือดไปอุดตันส่วนต่างๆของร่างกาย ก็ทำให้เป็นโรค หัวใจ โรคอัมพาต หรือ โรคลิ่มเลือดอุดตัน .. ดังนั้นในผู้ป่วยบางกลุ่ม แพทย์จึงต้องให้ยาต้านเกล็ดเลือด เพื่อไม่ให้เกล็ดเลือดทำงานเร็วเกินไป  ป้องกันปัญหาดังกล่าว …. กรณีที่ได้ยาต้านเกล็ดเลือด ก็มีข้อเสีย เพราะ หากเกิดบาดเจ็บ หรือ บาดแผลภายนอกจากอุบัติเหตุ หรือ จากการผ่าตัด จะทำให้เลือดไหลไม่หยุด … ในการผ่าตัด แพทย์จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และ ให้หยุดยาต้านเกล็ดเลือดก่อนการผ่าตัด ประมาณ 1 สัปดาห์ ครับ

-ตรงนี้คงเห็นแล้วว่า ถ้าหาก ปริมาณเกล็ดเลือดมีไม่เพียงพอ หรือได้รับยาต้านเกล็ดเลือด เวลาเลือดออก จะไม่มีหน่วยเคลื่อนที่เร็วเหล่านี้ไปปิดรูรั่ว เลือดก็จะยังไหลออกไปเรื่อยๆ และ ถ้าเกล็ดเลือดไม่พอ กรณีที่เสียเลือดมากๆ ก็จะเกิดปัญหาเรื่องเลือดไหลไม่หยุด ดังนั้น ในการผ่าตัดใหญ่ ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับ เกล็ดเลือด จึงจำเป็นต้องนำเกล็ดเลือดมาให้ผู้ป่วย แต่ ด้วยความเกล็ดเลือดที่มีขนาดเล็ก และต้องใช้เกล็ดเลือดปริมาณมาก จึงไม่สามารถใช้วีธีการให้เลือดตามปกติเพระจะได้ปริมาณเลือดมากเกินไป ต้อง นำเลือดที่บริจาค มาสกัด เอาเกล็ดเลือดออกมารวมกัน จะมีลักษณะเป็นถุงๆ คล้ายถุงน้ำเกลือ หรือ ถุงเลือด แต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่ง ในแต่ละถุง จะบรรจุเกล็ดเลือดจำนวนมาก และ ยังต้องเก็บไว้ในที่เย็น เพราะไม่เช่นนั้น เกล็ดเลือดจะเสื่อมสภาพ และ สลายตัว ไม่สามารถทำงานได้ครับ

-เกล็ดเลือด ตัวเล็กๆ แต่สำคัญนะครับ


เกล็ดเลือดมันเป็นเม็ดๆหรือเปล่าค่ะ