Cool down หลังออกกำลังกายหนักๆ

วิ่งมากเหนื่อยมาก เลย หยุดวิ่ง และ นั่งลง แค่ครู่เดียว ก็เป็นลม ล้มลง หัวใจหยุดเต้… สถานการณ์แบบนี้ เรามักจะคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่เป็นได้เลยครับ… เวลาเราออกกำลังกาย ระบบประสาทอัตโนมัติที่เรียก ซิมพาเตติก จะเรียกความพร้อมของส่วนต่างๆ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เส้นเลือดหดตัว ต่อมเหงื่อทำงาน(ระบายความร้อน) เลือดไปเลี้ยงลำไส้น้อยลง(เพื่อจะได้มาเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้น) ฯลฯ เป็นส่วนเสริม ส่งเสบียง และ ลำเลียงของเสียออกจากกล้ามเนื้อ งานยิ่งหนัก ออกกำลังกายยิ่งมาก ระบบซิมพาเตติก จะยิ่งทำงานมาก และ หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นๆๆๆ

ระหว่างที่ระบบซิมพาเตติก ทำงานเพิ่มขึ้น ร่างกายจะมีสมดุล ให้ระบบประสาทอีกชุดหนึ่ง คือ พาราซิมพาเตติก ซึ่งทำงานในทิศทางตรงข้ามกัน คอยถ่วงดุล ไม่ให้ ชีพจรเต้นเร็วไป ไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินไป  เพราะระบบนี้ จะคอยเคลียร์ และ ซ่อมแซม ดังนั้น จึงต้องคอยระวังไม่ให้เกิดความเสียหาย จะคอยรั้งไม่ให้หัวใจเร็วจนเกิดอันตราย ….

-บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไม หัวใจเต้นเร็วมากจึงเกิดอันตราย เหตุผลเพราะว่า ก่อนการบีบตัวแต่ละครั้ง หัวใจจะต้อง คลายตัวเพื่อให้เลือดไหลเข้ามาในห้องหัวใจ แล้วปิดประตู(ลิ้นหัวใจ)ด้านทางเข้า และ เปิดประตูอีกบานหนึ่ง(ลิ้นหัวใจ) พร้อมกับบีบให้เลือดไหลออกไปในทิศที่ต้องการ … ดังนั้น ถ้าหัวใจเต้นเร็วมากๆ เวลาที่รอให้เลือดไหลกลับเข้ามาหัวใจมีน้อย เลือดไหลเข้ามาน้อย ก็บีบออกได้น้อย หรือ บางครั้ง เลือดไหลไม่ทัน ก็ไม่มีเลือดให้สูบฉีด เกิดภาวะเช่นเดียวกับ ภาวะช๊อค ได้ … ดังนั้น หัวใจที่เต้นเร็วเกินไปมากๆ จึงเกิดอันตราย โดยทั่วไป เกิน 150 เริ่มต้องระวัง เกิน 180 จะอันตรายครับ

-เวลา ออกกำลังกายแต่ละครั้ง จะมีสัญญาณทั้ง ซิมพาเตติก และ พาราซิมพาเตติก ส่งจากระบบประสาท ไปที่หัวใจ พร้อมๆกัน หัวใจจึงยังทำงานได้ค่อนข้างดี มีเวลา ให้เลือดไหลเข้ามา และ มีการบีบตัวให้เลือดไปเลี้ยงร่างกาย ได้อย่างพอเหมาะ หัวใจไม่เต้นเร็วจนเกินไป …. แต่มีข้อแตกต่างระหว่าง ซิมพาเตติก และ พาราซิมพาเตติกอยู่เล็กน้อย คือ ระบบ ประสาท ซิมพาเตติก เมื่อถูกกระตุ้น จะปล่อยสารเคมีไปที่ปลายประสาท ซึ่งมีฤทธิ์คงอยู่อีกสักพัก ถึงแม้จะหยุดการกระตุ้นแล้วก็ตาม ดังนั้น หากเราหยุดออกกำลังกายทันที หัวใจจะยังเต้นเร็วอยู่ เหมือนรถมีแรงเฉื่อย จะยังพุ่งไปต่อได้อีกตามแรงเฉื่อย … แต่ ระบบ พาราซิมพาเตติก หากเราหยุด สัญญาณที่ไปที่หัวใจ จะหยุดทันที การชะลอประสาทซิมพาเตติกก็หายไปทันที จังหวะนี้ เมื่อเล่นกีฬามาเหนื่อยๆ และหยุดทันที โดยไม่มีการ Cool down หัวใจอาจจะเต้นเร็วและ แรงขึ้นไปอีก เพราะเหลือแต่สัญญาณกระตุ้นจากซิมพาเตติก แต่ไม่มีสัญญาณหยุดจากพาราซิมพาเตติก การเต้นของหัวใจอาจแรงไปกว่า ตอนออกกำลังกายเสียอีก คล้ายกับเราเหยียบเบรคเต็มแรง และ ปล่อยเกียร์ว่าง รถยนต์จะไถลไปอย่างเร็ว และแรงขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์… จังหวะนี้แหละครับ จึงเกิดอันตรายขึ้น

-หัวใจที่เต้นเร็วมาๆ นอกจากเลือดมาเข้าสู่หัวใจน้อยลงแล้ว เลือด ที่ออกไปก็น้อยลง พอเลือดเลี้ยงสมองน้อยลง เกิดอาการวิงิเวียนคล้ายจะเป็นลม หรือ หากนักกีฬามีภาวะเส้นเลือดหัวใจไม่ปกติอยู่ก่อน เลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจน้อยลง ก็อาจจะเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตาย และ หัวใจวายได้ครับ

-การหยุดการออกกำลังกายทันที จึงอาจจะเกิดอันตรายได้ ดังนั้น เวลา ออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ มากๆ อย่าเพิ่งรีบหยุดทันที ต้อง ลดความเร็ว เดิน ไปมา … อย่างน้อย ให้มีกิจกรรม มีการออกแรงต่อเนื่อง อีกสักระยะหนึ่ง (ตัวเลขที่ระบบ ซิมพาเตติก จะลดการทำงานลง เฉลี่ยอยู่ที่ 6 นาทีครับ)

-Cool down สำคัญไม่แพ้ Warm up ครับ


Cool down หลังออกกำลังกายหนักๆ