-การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ที่หลายคนอาจจะไม่รู้ หรือ ทำไม่เป็น … อุบัติเหตุ มีดบาด หรือ กระแทก หรือ หกล้ม จนบาดแผลฉีกขาด และ เลือดออก หลายคน อาจจะตกใจ และ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เรามักจะเห็นบางที เลือดไหล ออกตลอด ไม่หยุด จนกระทั่งไปถึง โรงพยาบาล หรือ คลินิก .. ที่จริง เราสามารถดูแลได้ง่ายๆ เบื้องต้นครับ … มาดูหลักวิชาการทางการแพทย์ ว่าเราทำได้อย่างไรครับ
-ใต้ผิวหนังของเรา จะมีเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กมาเลี้ยงที่ทางการแพทย์เรียกว่า capillary หากเทียบกับถนนหนทาง ก็จะเป็น ซอยที่เข้าบ้าน และ ในเกือบทุกบริเวณ จะมีเส้นเลือดที่ใหญ่กว่านั้นเล็กน้อย เทียบกับถนน ก็จะเป็นตรอก ซึ่งเป็นทางก่อนจะแยกเป็นซอย เส้นเลือดกลุ่มนี้เรียก arteriole … เส้นเลือดพวกนี้ แตกแขนงมาจากเส้นเลือดที่ใหญ่กว่านั้น ที่อยู่ในกล้ามเนื้อ มาตามข้อพัก แขนขา และ เส้นเลือดใหญ่ในช่องอก ถ้าเทียบกับถนน ก็เป็น ถนน สายหลัก จนถึง superhighway…. เวลาเกิดบาดแผลที่ไม่ได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ เส้นเลือดที่ฉีกขาด จะเป็น ระดับ capillary และ arteriole เท่านั้น ซึ่ง เส้นเลือดเหล่านี้ เมื่อฉีกขาด ก็มีเลือดออกได้มากๆ ครับ
-เวลาเลือดออก ร่างกายจะมีกลไก ในการห้ามเลือด และ ป้องกันการเสียเลือด ที่เป็นอัตโนมัติ ทำเองโดยที่เราไม่ต้องไปสั่งมัน … กลไกดังกล่าว มี 2 อย่าง อย่างแรก คือ การหดตัวของเส้นเลือด ให้รูของเส้นเลือดมีขนาดเล็กลง และ เลือดไหลช้าลง (เพราะรูเล็ก เลือดจะผ่านได้น้อย) กลไกนี้ จะมีเฉพาะในเส้นเลือดแดง แต่ถ้าเป็นเส้นเลือดดำ จะไม่มีกล้ามเนื้อเรียบของเส้นเลือด จึงหดตัวเองไม่ได้ เพียงแต่ว่า แรงดันในเส้นเลือดดำไม่สูงมาก เลือดมักจะไหลเอื่อยๆ เพราะ เป็นเส้นเลือด ที่ไหลท้นออกมา เหมือนน้ำล้นแก้ว … กลไกอย่างที่ 2 คือ กลไกการแข็งตัวของเลือด โดยมีเกร็ดเลือดเป็นตัวนำ ให้เกิดการแข็งตัวของเลือด จะกระตุ้นสารเคมีต่างๆในเลือด ให้มีเม็ดเลือดแดงมาเกาะตัวกันกับเกร็ดเลือด และ แข็งเป็นก้อน อุดรูรั่ว ที่เกิดการฉีดขาด ทำให้เลือดหยุดไหล แต่กลไกนี้ จะต้องใช้เวลา ประมาณ 2-8 นาที ซึ่งถ้าในระหว่างนี้ หาก แผลที่ฉีกขาด มีแรงดันเลือดสูง ดันให้ลิ่มเลือดที่จะมาอุดรูรั่ว ไหลหลุดออกมาก กระบวนการเกิดลิ่มเลือด หรือการแข็งตัวของเลือดก็ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถปิดรูรั่วได้ เลือดก็จะยังไหลอยู่เรื่อยๆ
-ดังนั้น วิธีการที่จะช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น คือ การลดแรงดันที่เส้นเลือดฝอย capillary และ arteriole เพื่อให้เลือดไหลน้อยลง ไหลช้าลง เสริมแรงที่เส้นเลือดหดตัวขึ้นไปอีก การลดแรงดันนี้ ทำได้โดยการกดที่ขอบแผล (ไม่ใช่กดที่ในแผลนะครับ) การกดที่ขอบแผลจะบีบให้เส้นเลือดตีบ และ เลือดไหลช้าลง จะมีเวลาให้เกร็ดเลือด และ กระบวนการแข็งตัวของเลือดทำงาน …. การกดต้องกดนาน อย่างน้อย 2 นาที ถ้าหากเส้นเลือดใหญ่หน่อย อาจะต้องกดนานไปกว่านั้น อาจจะถึง 8 นาที … เส้นเลือดที่บริเวณหนังศีรษะ จะมีมาก และ เลือดไหลแรง จะมีเลือดออกได้มาก ดังนั้น เวลาหัวแตก จะต้องกดที่ขอบแผลนานหน่อย และ แรงหน่อย
-กดแรงแค่ไหน ความดันที่เส้นเลือดระดับ arteriole อยู่ ที่ 60 มิลลิเมตรปรอท หรือ ประมาณ 78 เซนติเมตรน้ำ หรือ หนักเท่ากับ น้ำ 78 ซีซี ความแรง เหมือนเอาน้ำใส่ขวดมากกว่า 78 ซีซี มาวางทับ ก็เพียงพอที่ที่จะกดไม่ให้เลือดจาก arteriole ไหลได้ ซึ่ง การใช้มือกด มักจะแรงกว่านั้นครับ และ กรณีที่การฉีดขาด ถึงเส้นเลือดที่ใหญ่กว่านั้น การใช้แรงมือกด ก็จะทำได้เช่นกันครับ เพียงแต่ ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นใหญ่ๆ มักจะทนแรงดันของเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่ไม่ได้ จึงมักจะต้องกดนานหน่อยครับ
-ในยุคนี้ คนที่มีโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง แพทย์มักจะมีการให้ยาต้านเกร็ดเลือด หรือ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด กระบวนการแข็งตัวของเลือดจะช้ากว่าธรรมดา 2-3 เท่า ดังนั้น ในคนกลุ่มนี้ การกดห้ามเลือด ก็ต้องนานกว่าธรรมดา 2-3 เท่าด้วยครับ
-หลักปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ เมื่อมีบาดแผล อาจจะต้องล้างสิ่งสกปรกออกก่อนคร่าวๆ และ ใช้ผ้าหรือ ทิชชู สะอาด กดทีแผล อย่างน้อย 2 – 8 นาที ก่อนจะไปทำการพันแผลหรือเย็บแผล ระหว่าง เดินทางไปพบแพทย์ ก็จะช่วยได้ครับ