-ข่าวเรื่องที่เด็กนักเรียน เสียชีวิตเพราะติดอยู่ในรถโรงเรียน เป็นความสูญเสียที่รุนแรง ที่น่าจะป้องกันได้ เป็นสถานการณ์เดียวกันกับที่เกิดในวงการแพทย์ ที่มีการผ่าตัดผิดข้างผิดคน .. ทั้ง 2 กรณี มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ คนไข้ที่ถูกวางยาสลบแล้ว ไม่สามารถบอกทีมผ่าตัดได้ว่า ผิดข้าง หรือ ผิดคน หรือไม่รู้แม้แต่ว่าเขาผ่าตัดอะไรอยู่ .. เด็กนักเรียนก็เหมือนกัน หากนอนหลับอยู่ในรถ ก็ไม่สามารถบอกคนขับรถได้ว่าตัวเองนอนหลับอยู่ หรือยังไม่ได้ลงจากรถ … กว่าจะรู้ตัวก็ผ่าตัดไปแล้ว หรือ กว่าจะรู้ตัว ก็ล็อครถไปแล้ว
-ทางการแพทย์เจอปัญหาแบบนี้ มานาน และได้มีการศึกษา ทดลอง หาวิธีการต่างๆในการป้องกันไม่ให้เกิด จัดเป็นความรับผิดชอบต่อชีวิตคน และ รับผิดชอบต่อการสูญเสีย ดังนั้นปัจจุบันปัญหาดังกล่าวหายไปเกือบหมด เพราะมีวิธีปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน ที่เรียกว่า mark site และ time out
-ก่อนหน้านี้ ปัญหาการผ่าตัดผิดข้าง มักจะเกิด ในตอนยุ่งๆ เกิดเมื่อมีคนไข้หลายคนที่ต้องผ่าตัด เกิดเพราะศัลยแพทย์และทีมศัลยแพทย์มีความมั่นใจในตัวเองสูง … กรณีตัวอย่าง คือ ในสถาบันการแพทย์ชั้นนำในอเมริกา มีศัลยแพทย์ระบบประสาทมือหนึ่ง ต้องผ่าตัดคนไข้ฉุกเฉินที่มีเลือดออกในสมอง เขาได้รับการปรึกษาเรื่องคนไข้ที่ต้องได้รับการผ่าตัดจากห้องฉุกเฉิน ขณะที่ตัวเองอยู่ในห้องผ่าตัด ดู ฟิลม์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ของผู้ป่วย และ ให้เตรียมผู้ป่วยเข้าผ่าตัด เมื่อผู้ป่วยเข้ามาถึงในห้อง เขาจัดท่าเพื่อเตรียมผ่าตัด โดยมั่นใจมากว่า เป็นเลือดออกในสมองข้างนั้น โดยไม่ได้ดูฟิลม์เอกซเรย์อีกครั้ง แต่เมื่อผ่าตัดลงไปจริงไม่มีเลือดออกในสมองด้านที่ผ่าตัดลงไป เมื่อมาทบทวนดูฟิลม์ใหม่ จึงรู้ตัวาว่าผ่าตัดผิดข้าง จำเป็นต้องเย็บปิด และ พลิกศีรษะ เพื่อผ่าตัดอีกข้าง … นับเป็นความสูญเสียที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น สถานการณ์เดียวกันกับการที่มีเด็กอยู่ในรถโรงเรียนเลยครับ … หรือแม้แต่ในการผ่าตัดมะเร็งเต้านม มีการคุยกับผู้ป่วยว่าจะผ่าตัดแบบเก็บรักษาเต้านมไว้(ไม่ต้องตัดเต้านม) แต่พอผู้ป่วยสลบไปแล้ว ทีมกลับเข้าใจผิด ตัดเต้านมผู้ป่วยออกทั้งหมด ซึ่ง พอมาดูทีหลัง ก็มักจะมีแต่คำพูดว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้น และ ขอในกรณีนี้เป็นกรณีสุดท้าย … จะเป็นกรณีสุดท้ายไม่ได้เลยครับ หากไม่มีมาตรการ หรือ วิธีปฏิบัติที่ดี ที่ถูกต้อง
-วิธีการทางการแพทย์ ที่ปัจจุบันพบว่า ได้ผล ไม่ต้องการเครื่องมือพิเศษ ใดๆ และ สามารถปฏิบัติได้เลย โดยแพทย์จะมีการเขียนระบุก่อนการผ่าตัดในเอกสารใบยินยอม ว่าเป็นการผ่าตัดอะไร ผ่าใคร ข้างไหน โดยหมอคนไหน .. ก่อนผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด จะมีการ mark side คือ มีการใช้ปากกา ขีด หรือ วง ไว้ให้เห็นเด่นชัดถึงบริเวณที่จะทำการผ่าตัด หรือ ข้างที่จะทำการผ่าตัด โดยรอยขีดนั้นจะต้องมองเห็นได้ เมื่อวางยาสลบ และ ปูผ้าสะอาดเพื่อเตรียมผ่าตัด ไม่ใช่ ไปซ่อนอยู่ในที่ๆมองไม่เห็น .. และ เมื่อดมยาสลบ ผู้ป่วยหลับไปแล้ว ก็การทำ time out คือ ขอเวลานอก เพื่อทบทวน ก่อนทำการผ่าตัดจริง มีการขานชื่อผู้ป่วย อ่านทวนสิ่งที่เขียนในเอกสารยินยอม ว่า ผ่าตัดใคร ผ่าตัดอะไร ข้างไหน และ แนะนำตัวทีมผู้เข้าร่วมผ่าตัด พร้อมกับ สอบถามว่ามีอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษไหม… ดูแล้ว เหมือนไม่มีอะไร และ ดูแล้ว เหมือนเล่นตลก เหมือนคนปัญญาอ่อน อย่างนั้น … ในทีมแพทย์ พยาบาล วิสัญญีแพทย์ เมื่อตอนเริ่มมาตรการเหล่านี้ในห้องผ่าตัด แต่ละคนก็ดู เคอะเขิน ดูเหมือนกำลังซ้อมบทละคร ดูไม่ค่อยอยากทำ และ บ่อยครั้ง ก็ลืมทำ มัวแต่ใจจดจ่อแต่ว่าจะรีบทำผ่าตัด … แต่พอทีมได้ทำกันไปได้สักพัก และ ทุกคน ก็ทำเหมือนกันหมด ก็ไม่รู้สึกแปลก และ เป็นเรื่องปกติ เรื่องมาตรฐานที่ทุกคนรู้สึกดีในการทำกิจกรรมแบบนี้ครับ … ความเสี่ยงในการผ่าตัดผิดคน ผิดข้าง หลังจากได้มีการทำกิจกรรม mark site และ time out เป็น 0 มาหลายปีแล้วครับ
-รถโรงเรียน ก็สามารถทำได้แบบเดียวกันครับ ก่อนออกไปรับเด็ก ก็แค่มีรายชื่อเด็ก ซึ่ง โรเนียว หรือ xerox หรือ เขียนไว้ เมื่อเด็กขึ้นรถ ก็ ติ๊กเครื่องหมายถูก ว่าขึ้นรถแล้ว และ เมื่อถึง โรงเรียน ก็ให้เด็กทุกคนลงมายืนเรียงแถว แล้ว ก็ เช็คชื่อ ว่าลงรถแล้ว .. คนขับรถ คนเดียวก็ทำได้ครับ .. แต่ การทำการเช็คชื่อ การให้เด็กเข้าแถวเพื่อเช็คชื่อเวลาลงจากรถ .. มองดูแล้ว ทั้ง พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู คนขับรถ หรือ แม้แต่เด็กนักเรียนเอง อาจจะดูเป็นเรื่อง ไร้สาระ ดูตลก เชินไม่อยากทำ .. แต่ถ้าทุกคน รถทุกคัน ทำเหมือนๆ กันหมด ทุกคนก็จะไม่รู้สึกแปลก และ เมื่อทำจนเป็นมาตรฐาน จนเป็นนิสัย วันไหน ไม่ได้ทำจะรู้สึกแปลกๆครับ
-เราทำได้.. ไม่ยุ่งยาก ด้วยวิธีการที่ไม่ต้องลงทุนใดๆ เลยครับ … น่าสนใจไหมครับ … ให้เป็นมาตรฐานในวงการ รถรับส่งนักเรียน
-สิ่งสำคัญ ที่ฝั่งการแพทย์ได้เรียนรู้ คือ ต้องทำให้กลายเป็นมาตรฐานของวิธีปฏิบัติที่ทุกคนต้องทำ ทุกครั้ง ไม่มียกเว้น เตรียมสิ่งแวดล้อม เครื่องมือ(กระดาษจดรายชื่อ)ให้พร้อม.. ซักซ้อม ตรวจสอบ (วันนี้คุณทำ time out หรือยัง)… ทำทุกวัน จนกว่าจะเป็นนิสัย
-เราไม่โทษกัน เราไม่โทษใคร.. แต่ทำให้ ทุกคน รู้สึกว่า ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ เหมือนขาดอะไรไป