หมอไม่ใช่ ผู้กำกับภาพยนต์

-ในทางการแพทย์ กระบวนการดูแลรักษาผู้ป่วย จำเป็นต้องทราบการวินิจฉัยโรค และ การดำเนินโรค จึงจะทำการช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วยได้ … ซึ่ง การดำเนินโรค ไม่ใช่การดูภาพ ทีละภาพ (snap shot) แต่จำเป็นต้อง มองออก ในรูปของความต่อเนื่อง เหมือนหนึ่ง การดู ภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เกิด จนกระทั่ง เสียชีวิต …

-ในชีวิตจริง หมอ ไม่ได้อยู่กับ คนไข้ตลอดเวลา และ ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ระหว่างที่ไม่ได้เจอกัน คนไข้ ไปทำอะไรมาบ้าง … การที่หมอได้ตรวจคนไข้แต่ละครั้ง ก็จะมีอาการเหมือนดูหนัง แต่ละตอน ซึ่ง เป็นลักษณะของ snap shot บางตอน เราเองก็ไม่ได้ดู อาศัยคำบอกเล่าจากคนไข้ หรือ จากหมอคนอื่น … ณ ตรงจุดนี้ คุณหมอจึงเหมือน คนที่เพิ่งเข้ามาดูหนังตอนกลางของเรื่อง จำเป็นต้องใช้ ข้อมูล และ จินตนาการ เพื่อให้การรักษาผู้ป่วย ได้ผลดี  ต้องอาศัยข้อมูลที่มาปะติดปะต่อกัน เป็นเรื่องราว เพื่อช่วยผู้กำกับในการเขียนบทถัดไปว่าควรจะเดินเรื่องไปอย่างไร  และ ในช่วงของการให้การรักษา หมอก็เหมือน เป็นตัวละคร คนหนึ่ง ที่เข้าไปในฉากภาพยนตร์ของคนไข้คนนั้น ซึ่ง สิ่งที่หมอกระทำลงไป ก็มีผล ต่อ บทภาพยนตร์ ที่จะเกิดกับคนไข้ในตอนถัดๆไป

-บ่อยครั้ง ที่หมอบางคน บางครั้ง จะเข้าใจผิด คิดว่าตนเอง เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ จะสามารถสั่งให้เรื่องราวของ ภาพยนตร์เรื่องนั้น ดำเนินไปอย่างไรก็ได้ ตามที่หมอสั่ง… ซึ่งไม่เป็นความจริง หลายเรื่อง หลายครั้ง ก็ไม่เป็นไปตามที่หมอบอกให้ทำ หรือ ผลลัพธ์ ก็ไม่เป็นไปตามที่หมอคาดเดาไว้ และ บางครั้ง สภาวะโรค ก็เกินกว่าความสามารถของหมอที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันได้ … หมอจึงเป็นเพียงผู้ช่วยผู้กำกับ ที่ อาจจะเขียนบทละครเป็น เพราะ ว่าเห็นมาเยอะ สามารถเป็นแผนกตัดต่อภาพ เพื่อดึงความสนใจ และ ทำให้คนดูรู้สึกเป็นสุข และ ขณะเดียวกัน ก็อาจจะเป็นดาราประกอบ ที่ทำให้ฉากในภาพยนต์สมบูรณ์ อย่างที่คนดูอยากให้เป็น

-หากหมอที่ดี รักษาคนไข้ได้ดี หมอควรจะได้รับรางวัล ผู้ช่วยผู้กำกับยอดเยี่ยม (ผู้กำกับตัวจริง คือ ธรรมชาติ) และ ดาราประกอบยอดเยี่ยมครับ … เป็นคน ที่ทำให้ ฉากละคร ของการเจ็บป่วยของแต่ละคน ดำเนินไปในทางที่ดี ที่ไม่สร้างความเจ็บป่วยทุกข์ร้อนให้กับดารานำ และ ทุกคนรอบข้างมีความสุข

-หมอต้องไม่หลงคิดว่า ตนเองเป็น ผู้กำกับภาพยนต์ครับ


หมอไม่ใช่ ผู้กำกับภาพยนต์