–ในพรหมวิหาร 4 เรามักจะรู้สึกว่า อุเบกขา เป็น หัวข้อธรรมะที่ไม่เข้าพวก … แต่แท้จริงแล้ว ข้อ อุเบกขานี้ เป็น ธรรมะที่ลึกซึ้ง
-อุเบกขา ไม่ใช่ การวางเฉย ที่ไม่ทำอะไรเลย …เมื่อรู้จักธรรมะข้อนี้ใหม่ๆ มักจะได้ยินคนอ้าง อุเบกขา และ บอกว่า ไม่ทำโน่น ไม่ทำนี่ เหมือนมีข้ออ้างว่า จะไปม่ทำละ จะวางอุเบกขา … แต่แท้จริงแล้ว อุเบกขา ถูกจัดไว้ เป็นธรรมข้อสุดท้าย ใน พรหมวิหาร 4 …. นั่นคือ ปฏิบัติทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา แล้ว จึงจบด้วยอุเบกขา
-เวลามีเมตตา มีความกรุณา คิดอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ อยากให้เขามีสุข อยากให้เขามีชีวิตรอด และ กรุณาช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ช่วยให้เขามีสุข ช่วยให้เขามีชีวิตรอด โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อเห็นเขามีสุข พ้นทุกข์ มีชีวิตรอด ก็มีมุทิตากับเขา สุขและยินดีด้วยกับเขา …. แต่ชีวิต และ โลกนี้เป็นสิ่งไม่เที่ยง บางครั้ง ที่เราตั้งใจดี มีเมตตา ทำความดีมีกรุณา แต่ผลที่เกิดจาก เมตตา และ กรุณาของเรา อาจจะออกมาไม่ดี ก็ได้ คนที่เรามีเมตตา กรุณากับเขา ไม่ได้พ้นทุกข์ ไม่ได้มีความสุข ไม่ได้มีชีวิตรอด หรือไม่อยากได้รับ เมตตา หรือ กรุณาจากเรา … เราก็ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องน้อยใจ เพราะ ในโลกนี้ มีปัจจัยมากมายที่ทำให้เหตุการณ์ เป็นไปในแบบที่จะเป็น หลายปัจจัยเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมหรือกำกับผลจากเรา หลายอย่าง ถึงเราจะกรุณาทำดีแล้ว แต่ ก็สู้ปัจจัยอื่นๆ ไม่ได้ สอนให้เด็กเป็นคนดี แต่สุดท้ายเขาไปเป็นโจร บางครั้ง ก็เป็นสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมของเรา … ธรรมะข้อ อุเบกขา จึงมา เป็นการบอกให้เรารู้ว่า เมื่อเราได้ทำดีแล้ว มีเมตตา มีกรุณาแล้ว หากผลออกมาไม่เป็นดังที่เราคิด ก็ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องทุกข์ ไม่ตอ้งน้อยใจ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องตัดพ้อต่อว่า ให้วางเฉยเสีย ให้รู้ว่า โลกเป็นเช่นนี้เอง… เพราะถึงแม้เราจะพยายามทำดีเพียงไร บางครั่ง มันก็ไม่ได้เกิดผลอย่างที่หวัง แต่ไม่ได้บอกให้ไม่พยายามทำนะ การพยายามทำ การมี เมตตา และ กรุณา ยังต้องมีอยู่
-หมอเป็นกลุ่มที่ รักษา ธรรมะข้อ อุเบกขา ไม่ค่อยได้ เพราะ ติดดี คิดว่า มีเมตตา มีกรุณา จะมีมุทิตา ที่เห็นคนไข้ดีขึ้น แต่ มักไม่ค่อยมี อุเบกขา เวลา แนะนำสิ่งดีๆให้ แล้วคนไข้ไม่ทำตาม
–ดังนั้น ธรรมะข้อ อุเบกขา จึงไม่ใช่ การวางเฉยที่มาโดดๆ วางเฉยโดยไม่ทำอะไร … แต่เป็นวางเฉยต่อผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้มี เมตตา และ กรุณาแล้ว … จะทำให้เราไม่ทุกข์ สังคมเป็นสุขครับ